ผมยอมปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เกิดขึ้นตามที่อีกฝ่ายต้องการ.. รวมถึงตัวผมเอง
โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลและสิ่งที่จะตามมาเบื้องหลังอีก จูบของปุณณ์ดูขลาดกลัว แต่ก็หนักแน่นในความรู้สึก
เช่นเดียวกับอ้อมกอด.. เราสองคนปล่อยให้ร่างกายเดินไปทางเดียวกับหัวใจ
เป็นไปตามความต้องการ ที่สู้ทนเก็บไว้ จนพอถึงเวลาปลดปล่อย เราก็หยุดไม่ได้อีกต่อไป
.. .. .. เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ กว่าผมจะลืมตาโพลงในความมืดมิด
เมื่อสำนึกแห่งผิด ชอบ ชั่ว ดี ย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง คนที่นอนกอดผมไว้แนบกายคือไอ้ปุณณ์
เพื่อนที่ปั่นหัวผมมากที่สุดในระยะหลายวันที่ผ่านมา ท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่อง เปิดทางให้ผมเห็นใบหน้าปุณณ์หลับไหลในความมืด
ขนตายาวของมันแนบชิดติดแก้มซ่อนเอาดวงตาคู่นั้นที่เคยแทบจะแผดเผาผมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
เอาไว้ภายหลังเปลือกตาที่ปิดสนิท สันจมูกโด่งพ่นลมหายใจเข้าออกสมํ่าเสมออยู่เหนือริมฝีปากบางสีธรรมชาติ
เป็นเครื่องหมายให้เห็นชัดว่าเจ้าของร่างที่กอดผมนิ่งอยู่นี้ดำดิ่งในห้วงนิทราขนาดไหน
ผมมองใบหน้าสงบนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายอยู่ภายในหัวใจ สิ่งที่วิ่งนำความรู้สึกอื่นมาไกลคือ
ความกลัว 100
ความรู้สึกเจ็บที่ยังคงแล่นริ้วอยู่
เตือนให้ผมรู้สึกว่าเราสองคนทำผิดชิบหาย ผิดแบบไม่น่าให้อภัย ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นคนบอกมันเองว่าให้เลิกคิดถึงเหตุผล
สิ่งที่ถูกต้องสมควรทำ หรือแม้กระทั่งบอกให้ลืมไปซะว่าเราเป็นอะไร... แต่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง
ผมกลับพบว่า เรื่องพวกนั้นไม่มีเรื่องไหนที่สามารถทำได้จริงสักเรื่อง สิ่งที่เคยหลอกหลอนปุณณ์เมื่อวันก่อนถูกส่งมาหลอกหลอนผมต่อเหมือนกับจดหมายลูกโซ่
เมื่อพบว่าจริงอย่างที่ปุณณ์บอกทุกอย่าง ผมไม่อาจวิ่งหนีความจริงนี้ไปไหน ว่าทั้งผมและปุณณ์เป็นผู้ชาย
เราสองคนมีแฟนแล้ว และที่สำคัญ เราเป็นเพื่อนกัน... ผมไม่อยากเสียความสัมพันธ์เช่นนี้ไป
ผมไม่รู้ว่าสำหรับผม ความรู้สึกที่มีให้ปุณณ์คือแบบไหน รวมถึงจากฝ่ายปุณณ์ ที่ก็ไม่รู้ว่ากําลังหยิบยื่นความรู้สึกประเภทใดมาให้
ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดทบทวนซํ้าว่าเรื่องราวที่เพิ่งผ่านมาเกิดจากอะไร ผมกลัวว่าแท้จริงแล้วมันจะไม่ได้เกิดจากอะไรเลย
นอกจากความใคร่ของเราสองคน.. แต่มีอีกสิ่งนึงที่ผมกลัวมากกว่า..
ผมกลัวว่าทุกอย่างจะมากกว่าความใคร่ มากกว่าความผูกพัน มากกว่าความพลั้งเผลอของใจ...
ผมกลัวว่ามันจะมากกว่านั้น เพราะหากใจผมเลยเถิดถึงขั้นนั้น....
ผมคงไม่รู้หาวิธีการไหนมาจัดการตัวเองได้.. ผมไม่รู้เลย..
"อืม... โน่.... ไม่นอนเหรอครับ"
โชคดีที่เสียงงัวเงียของไอ้ปุณณ์ขัดขึ้นมาก่อนผมจะคิดต่อ.. ริมฝีปากมันหาวหวอดจนผมต้องขยับตัวนิดหน่อยเพราะชักร้อนขึ้นมาตะหงิด ๆ แต่ปุณณ์เพียงคลายอ้อมแขนให้นิดเดียวเท่านั้น
ดูเหมือนมันยังยืนยันว่าจะกอดผมอยู่ดี "เฮ้ย กูร้อน"
"อะไร.. งั้นเพิ่มแอร์" เชี่ยนี่กวนประสาท มันเอื้อมมือไปคว้ารีโมทแอร์มากดปรับอุณหภูมิหน้าตาเฉย101
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องปล่อยผม
ไม่ได้สำเหนียกเลยว่าโลกร้อนนะมึง! ผมเขม็งตามองมันแต่ในห้องคงมืดจนเห็นได้ยาก
ปุณณ์แค่เกร็งแขนบิดขี้เกียจนิดหน่อยแล้วดึงผมไปกอดอีกเท่านั้น "พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า แล้วเดี๋ยวพาไปเอาของที่บ้านก่อนไปโรงเรียน ดีมั้ย?"
ปุณณ์งึมงำถามผมเหมือนคนขี้เกียจอ้าปากพูด "อืมม.." แต่เสียงผมคงแปลกไปจนมันรู้สึกได้
"เป็นอะไรรึเปล่า" คือคำที่มันถามผมด้วยสำเนียงคนตื่นแล้วเต็มตา
"มึง......." "ว่าไง?"
"ที่เราทำกันมันผิดไหมวะ.." ผมไม่แน่ใจว่าที่บอกไปนี่เป็นประโยคคำถามหรือผมแค่อยากพูดกับตัวเอง...
แต่สายตาที่เห็นกรอบรูปบนหัวเตียงนั้น ถึงแม้ห้องจะยังมืดมิดอยู่ ก็มีแสงจันทร์ยังสาดให้เห็นว่าคือรูปปุณณ์กับเอมแน่แท้..
ปุณณ์หันกลับไปควํ่ากรอบนั้นไว้ แล้วมาตระกองกอดผมเหมือนเดิม
"คืนนี้เลิกคิดก่อน... พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที..
นะ" "แต่....." "ไม่พูดแล้ว..." ปุณณ์ปิดปากของผมด้วยริมฝีปากมันครู่หนึ่งก่อนจะถอนออก
"วันนี้มีแค่เรา.." ผมหลับตารับริมฝีปากจากมันอีกครั้ง
พร้อมโอบกอดร่างของปุณณ์ที่เคลื่อนมาทาบทับผมเอาไว้เบื้องบน เป็นดั่งสัญญาณว่าทุกอย่างกําลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
102
ผมบอกตัวเองว่าคืนนี้จะปล่อยเรื่องทั้งหมดไว้ข้างหลัง.. และไม่ว่าพรุ่งนี้เช้า..
ปุณณ์และผมจะต้องกลายเป็นของใคร เราจะไม่มีทางลืมวันนี้เลย
***
เสียงเจ้าพวกเด็กม.ต้นเล่นบาสเตะบอลกันดังลั่นโรงเรียนยามเย็นจนผมอยากจะชะโงกหัวออกไปตะโกนด่าแต่ก็ทำไม่ได้(ขี้เกียจ)..... เป็นเวลาปกติคงไม่หงุดหงิดขนาดนี้หรอกครับ
แต่นี่มันไม่สบายตัวอยู่ แล้วยังเสือกมีเสียงกวนใจอีกมันน่าหงุดหงิดน้อยที่ไหน ผมนอนตัวยาวบนโซฟาในห้องชมรมพลางบิดรูบิคไปพลาง
เชี่ยแม่ง.. เพราะไอ้โอมนั่นแหละ มันโยนไอ้ลูกบาศก์นี่มาให้ผมเล่นต่อเมื่อคาบบ่าย
จนถึงตอนนี้ เลยเวลาเลิกเรียนแล้ว ผมยังทำได้ไปแค่หน้าเดียวแถมเหนื่อยจะแย่.......
แล้วไอ้เก่งบิดเป็นดอกไม้ไปได้ไงวะ ไม่เข้าใจ ผมคิดพลางหงุดหงิดไปพลาง..
สะโพกก็ปวด รูบิคก็เล่นไม่ได้ จะมีชีวิตใครเหี้ยเท่าผมมั่งเนี่ย!!
"โห....... หน้าเครียดเชียวพี่ วันนี้คิดจะทำไอ้นี่ทั้งวันเลยเหรอ"
ไม่ต้องเสียเวลามองหน้า แค่กวนประสาทแบบนี้ผมก็รู้แล้วว่าเป็นไอ้เป้อ
แต่ขี้เกียจเถียงกับมัน (ไม่ว่าง) เลยได้แต่ส่งเสียงอือ
ๆ ออ ๆ กลับไปว่าอย่ามากวนใจ แต่ถ้าคิดว่าจะไล่ไอ้เด็กนี่ไปง่าย ๆ น่ะผิดถนัด!
เพราะมันดันยกกีต้าร์ไฟฟ้ามานั่งดีดตรงหน้าผมอย่างไม่รู้ไม่ชี้
"เบื่อว่ะพี่ ห้องชมรมกลองไม่ดีไม่มีใครอยากตีเลย ผมเลยอดซ้อมวง"
103
"แล้วไงวะ..."
ไม่เห็นรึไงว่ากูไม่ว่าง "ก็เมื่อไหร่กลองจะมาอะพี่-----"
ตื้อจริงวุ๊ย! ผมหยุดเล่นรูบิคครู่หนึ่งแล้วหันไปเหล่หน้าตี๋
ๆ ของมัน "รอเงินอยู่ เข้าใจปะ" "โห่ย..... พี่โน่กับพี่ปุณณ์สนิทกันจะตาย ช่วงนี้"
ห๊ะ... ผมไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากไอ้นี่!
"เดี๋ยวนะ... มึงรู้ได้ไง"
"เค้ารู้กันหมดแล้วพี่! ว่าพี่สองคนน่ะสนิทกัน
ขนาดมีแฟน แฟนยังอยู่กลุ่มเดียวกันเลย" อ้อเรอะ.......
ผมล่ะอยากจะหัวเราะเป็นภาษาตุรกี "แล้วไงวะ...."
"ก็บอกพี่ปุณณ์ให้รีบปล่อยเงินให้เราสิพี่---"
"เฮ้ย! พูดอะไรง่าย ๆ ว่ะ จะให้กูเข้าไปปล้นห้องสภาฯตอนนี้เลยรึไง"
ถ้าทำได้กูก็ทำไปแล้วด้วยซํ้า เมื่อโดนผมเหวี่ยง ไอ้เป้อเลยทำหน้าเซ็งอยู่ครู่หนึ่ง
ผมเข้าใจว่ามันคงอยากซ้อมวงมาก แต่ก็ไม่รู้จะช่วยไง ให้ทวงไอ้ปุณณ์บ่อย ๆ คงดูไม่ดี....
ผมคิดพลางบิดรูบิคในมือต่ออย่างสนใจของเล่นตรงหน้ามากกว่า 'ใครจะไปดีได้ทุกชั่วโมง ก็เรามันคนไม่ใช่ละครทีวี~' "นั่นไง พี่ปุณณ์โทรมาแล้ว!!!!!!" อะไรนะ!?
มันรู้ได้ไงเนี่ย ผมสะดุ้งเฮือก บ้าจี้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูตามคำไอ้เป้อบอก
ก่อนจะแทบเขวี้ยงทั้งรูบิคและมือถือใส่กะบาลเหม่ง ๆ ของมันแม่งงง "ปุณณ์ แม่.... มึงสิ!!...... หวัดดีฮะยูริ"
ผมก่นด่ามันก่อนจะเปลี่ยนโหมดเป็นรับโทรศัพท์เสียงง่วง รูบิคในมือก็ทำท่าจะไปไม่สวย
เลยตัดสินใจปล่อยให้มันไหลลงพื้นห้องชมรมไปแต่โดยดี 104
"โน่ยังอยู่โรงเรียนรึเปล่าคะ" "ผมอยู่ชมรมน่ะ ยูริมีอะไรรึเปล่า" เพราะโทรมาเวลานี้ไม่ใช่วิสัยของยูริ
ปกติหากเธออยากชวนผมไปไหน จะโทรมาก่อนเลิกเรียนเพื่อให้ผมเคลียร์งานได้ทัน แต่ถ้าไม่ไปไหนกัน
เธอจะโทรมาอีกรอบตอนดึก ๆ ก่อนเข้านอน "ยูอยู่.........
หน้าโรงเรียนโน่.... มีธุระนิดหน่อย ออกมาหาแป๊บนึงได้มั้ยคะ"
ได้ฟังคำนั้นแล้วผมแทบจะกระเด้งออกจากโซฟาโดยไม่สนเลยด้วยซํ้าว่าตัวเองกําลังเจ็บอยู่ยังไง...
ก็ไอ้การมีนักเรียนคอนแวนต์มายืนแกร่วอยู่หน้าโรงเรียนชายล้วนอย่างโรงเรียนผมนี่มันน่าเป็นห่วงน้อยที่ไหน!
"แป๊บนึงนะ โน่กําลังรีบไป อย่าเดินไปไหนนะยูริ" ผมลนลานวางสายพลางพุ่งไปหน้าห้องชมรมเพื่อใส่รองเท้าทันที "แฟนโทรมาเหรอพี่" ไอ้เป้อเดินตามผมมาหน้างง ๆ ผมได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะตบบ่ามันสองที
"ฝากห้องชมรมด้วย เดี๋ยวมา" *** ผมเดินกึ่งวิ่งทั้งที่ยังใส่รองเท้าไม่เสร็จดี
แถมยังมีอาการปวดสะโพกไม่หายไปยังหน้าประตูโรงเรียน... ยูริยืนรอผมอยู่ตรงนั้นตามคำสั่ง
แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนขาว ซํ้ายังหน้าตาอาโนเนะแบบญี่ปุ่น จึงช่วยไม่ได้ที่นักเรียนชายหลายคนจะกําลังลอบจ้องเธอตาเป็นมัน
ก็ไม่ได้หวงหรอกครับ แต่เป็นห่วงมากกว่า -_-"..... สาวน่ารักอย่างยูริหลุดมากลางดงผู้ชายคนเดียวแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน
105
"ทำไมจะมาไม่โทรบอกโน่ก่อนครับ
ไม่ดีเลยรู้มั้ย" ผมพูดกับเธอกึ่งตำหนิเมื่อวิ่งมาถึงแล้ว
ก่อนจะอาสาถือกระเป๋านักเรียนให้แล้วพายูริเดินออกนอกบริเวณโรงเรียนไป
"ขอโทษค่ะ.. พอดียูรีบ แล้วก็ ใช้โทรศัพท์อยู่ตลอด
จนได้โทรหาโน่ตอนมาถึงแล้วนั่นแหละ"..... อืม.. ฟังดูแปลก ๆ แฮะ? "มีอะไรรึเปล่า?"
"โน่......... รู้เรื่องของปุณณ์บ้างมั้ยคะ?"
ผมล่ะแทบอยากจะหายตัวไปเดี๋ยวนั้นเลย ดวงตากลมสีดำสนิทของยูริจ้องมายังผมอย่างต้องการจะค้นหาความจริงบางอย่าง
ซึ่งผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ยูริต้องการนั้นคืออะไร... เธอพูดกินนัยผมแค่ไหน?
"เรื่องไหนล่ะ" "เฮ้อ........."
อ้าว!!! ทำไมคำตอบกลายเป็นเสียงถอนหายใจอย่างนั้นล่ะครับ
-_-"... ผมงงไปหมดกับท่าทีกระอั่กกระอ่วนของผู้หญิงตรงหน้า ที่ดูราวกับกําลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเรื่องบางอย่างอยู่
"มีอะไรเกิดขึ้น?" "คือโน่..........
เมื่อวานโน่รู้รึเปล่าว่าปุณณ์ไปไหน.." ถึงตรงนี้ผมรู้สึกลังเลอย่างหนักที่จะตอบ
ในเมื่อรู้ดีว่าเมื่อวานมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง "ทะ....
ทำไมล่ะ" "โธ่....... ยูพยายามบอกเอมแล้วว่าอย่าให้ยูถามโน่เลย... เพราะยูรู้ว่าโน่กับปุณณ์เป็นเพื่อนกัน
ยังไงก็คงช่วยปิดกัน ไม่ยอมบอกความจริงแน่ ๆ" ถึงตรงนี้ผมเริ่มงงไปหมดแล้ว
นี่ผมจะควรจะพูดอะไรออกไปดี 106
ยูริหยุดครวญครางกับตัวเอง
ก่อนจะเงยหน้ามองผมนิ่ง..
จนไม่อาจละสายตาไปทางไหนได้ "ขอร้องนะโน่...
เอมเครียดมาก" ริมฝีปากเธอขยับช้า ๆ ชัด ๆ
ให้ผมทั้งเห็นและได้ยินทุกประโยค "บอกยูได้ไหมโน่ ว่าเมื่อคืนปุณณ์นอนกับใคร"
เหมือนฟ้าผ่าลงกลางกบาลผม เมื่อได้ยินคำนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น