วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

LOVE SICK :: ชุลมุนกางเกงน้าเงิน EP.19



 หลังจากที่กินทั้งข้าวและกับแกล้มเสร็จจนอิ่มแปร้ ซัดตามด้วยเบียร์ 1 ทาวเวอร์ ทั้งผมและปุณณ์ก็กึ่ม ๆ กันไปเรียบร้อย ถ้าจะถามว่ากึ่มขนาดไหนลองคิดดูว่าหนึ่งชั่วโมงสุดท้ายก่อนออกจากร้าน ผมถึงขั้นขึ้นไปโชว์สกิลความเป็นประธานชมรมดนตรี ด้วยการเปิดมินิคอนเสิร์ตร่วมกับพี่นักดนตรีในร้านยาวรวด 12 เพลง (หนึ่งโหล) ทั้งเล่นกีต้าร์ ร้องเพลง คีย์บอร์ด ตีกลอง ตบเบส ผมแจมหม๊ดดด... โห... พูดแล้วจะหาว่าคุยครับ ดนตรีไทย วงโย เครื่องออเคสตร้า ผมเล่นได้ทั้งนั้น ไม่งั้นจะเป็นประธานชมรมดนตรีได้ไง ฮ่า ๆๆ (แต่ถ้าไม่เมาผมคงไม่ทำอะ คิดแล้วอายตัวเอง) แน่นอนว่าตอนเข้าร้านฮือฮาขนาดไหน ขาออกมานี่ฮือฮายิ่งกว่า ฮ่า ๆๆ พวกผมเดินออกจากร้านด้วยเสียงกรี๊ดกระหึ่มของพี่สาว ๆ นักศึกษาที่เริ่มนั่งก้นไม่ติดโต๊ะกันเพราะแต่ละเพลงที่เล่นไป ช่างเปลี่ยนคอนเซปต์จากร้านอาหารธรรมดาให้กลายเป็นผับย่อย ๆ ได้ในพริบตา หึหึ.. ก็แหม... เห็นทุกโต๊ะเขามีเหล้ามีเบียร์ตั้งอยู่นี่ครับ ไอ้จะให้นั่งฟังเพลงสบาย ๆ ช้า ๆ ก็กลัวว่าเดี๋ยวจะง่วงหลับคาโต๊ะกันพอดี เวลาเกือบเที่ยงคืน เราเช็คบิลออกจากร้านด้วยราคาที่พี่เจ้าของลดให้เกินครึ่ง! แหม... ไม่รู้จะยกความดีความชอบให้ใคร ระหว่างผม ที่เปิดมินิคอนเสิร์ตกางเกงนํ้าเงินเอาใจแม่ยกสาขาบางแสน หรือไอ้เชี่ยปุณณ์ ที่หล่อสะท้านชายหาดจนป้า ๆ นักศึกษาแถวนั้นรีบกดโทรศัพท์เรียกเพื่อนยิก ๆ ให้เข้ามากินข้าวร้านนี้จนคนแน่นขนัด แต่ยังไงก็เหอะ เราสองคนขับรถออกจากร้านด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มกว้างง อย่างหุบไม่อยู่ ปุณณ์พารถฮอนด้าสองประตูของมันขับลัดเลาะถนนริมชายหาดไปเรื่อยเปื่อย ขณะที่เปิด moon roof ให้ผมได้ชม120
พระจันทร์ดวงสวยเต็มตา มีความสุขจนไม่อยากให้คืนนี้ผ่านไปเลยแฮะ... เวลาเล่นเกมจับผิดยังมีปุ่มหยุดเวลาเลย แล้วทำไมในชีวิตจริงถึงไม่มีมั่ง ผมแอบมองใบหน้าด้านข้างของปุณณ์ที่เจือรอยยิ้มอยู่เช่นเดียวกัน เราสองคนขับรถวนรอบชายหาดไปเรื่อย พลางซัดเบียร์จากเซเว่นอีกสามสี่กระป๋อง ก่อนจะหยุดรถลงเช็คอินที่โรงแรมริมหาดแห่งหนึ่ง แม้จะว่าแพงหูฉี่สำหรับทะเลบางแสน แต่บัตรวีซ่าสีทองของไอ้ปุณณ์ช่วยได้ "ไว้มีตังค์แล้วจะใช้ให้นะ" ผมว่าพลางตบไหล่มันปุ ๆ ระหว่างเดินไปห้องพักริมทะเลของเรา ได้ยินเสียงมันหัวเราะรับคำพูดผม ก่อนจะยื่นมือมาตบเกรียนผมดังปั้ก! ถ้าเยี่ยวรดที่นอนคืนนี้มึงก็เปียกนั่นแหละไอ้เวร!! "คิดมากไร ตังค์นี่เดี๋ยวกูหักจากค่าชมรมมึง" อ้าววววววว พูดงี้ก็สวยดิ่ครับ!! ผมถลึงตามองหน้าไอ้ปุณณ์ที่ทำเป็นผิวปากไม่สนใจ พลางไขประตูห้องหมายเลข 17 อยู่ นี่ถ้าเหวี่ยงเป้ฟาดหัวมันได้ผมคงทำไปแล้ว ติดแต่เป้โคตรหนัก ให้เหวี่ยงขึ้นมาล่ะแขนผมคงได้มีหัก "โอ่ยยยยย สบายยยยยยยยยยยยยยยยยย" ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก ผมก็รีบเขวี้ยงเป้โรงเรียน แล้วปรี่ไปเปิดประตูกระจกรับลมทะเลทันที ขณะที่ไอ้ปุณณ์ยังคงสาละวนอยู่กับการล็อคประตูห้องให้แน่นหนา ไม่รู้แม่งกลัวโจรเข้าหรือกลัวผมหนี ผมยืนสูดลมทะเลตรงริมระเบียงได้ซักพักก็รู้สึกถึงวงแขนอุ่นที่ตระกองกอดรอบเอวผมไว้หลวม ๆ จากด้านหลัง พร้อมทั้งใบหน้าคนมาด้วยกันก้มซุกอยู่บริเวณไหล่.. ผมเหล่ตามองปุณณ์พลางยักไหล่ขึ้นลงให้หัวมันเด้งดึ๋งเล่น ๆ "เฮ้ย! เพิ่งมาถึงจะปลํ้ากูเลยเหรอ ไม่ไหว ๆๆ หื่น" แกล้งกวนตีนมันไปอย่างนั้นแหละ หึหึ 121
"มึงแหละหื่น กูยังไม่ได้ทำไรเลย" แน่นอนว่ามันต้องด่าผมกลับ แต่เสียงฟังดูอู้อี้มากเพราะยังคงซุกหน้ากับบ่าผมอยู่ ผมหัวเราะกับคำตอบนั้นพลางลดมือที่เกาะราวระเบียงอยู่ ลงมาจับมือปุณณ์ที่โอบผมไว้แทน "เป็นอะไรห๊ะ?" เพราะอยู่ดี ๆ เข้ามาอ้อนแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ ๆ "ขออยู่แบบนี้ซักพักได้มั้ย............" เสียงนั้นของปุณณ์ฟังดูอ่อนแรงจนทำให้ผมระลึกได้ว่าควรหยุดกวนตีนมันซักที สิ่งที่ทำในเวลาต่อมาจึงกลายเป็นการอิงหัวตัวเองลงกับหัวมันแล้วยืนนิ่ง ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายกอดผมได้นานเท่าที่ต้องการ "แต่ถ้าตะคริวกินขากู มึงโดน..." *** 'I could be brown, I could be blue, I could be violet sky~' เวลาผ่านไปพักใหญ่ที่เรายืนกอดกันจนโทรศัพท์เครื่องสีดำของปุณณ์ส่งเสียงทำลายความเงียบ ผมเหลือบมองโนเกียเครื่องนั้นที่ทั้งร้องทั้งสั่นอยู่บนโต๊ะวางของซึ่งปุณณ์วางทุกอย่างทิ้งไว้บนนั้น "ลืมปิดเครื่องเหรอเนี่ย..." เสียงทุ้มนั้นบ่นกับตัวเองเบา ๆ ข้างหูผม ก่อนจะคลายวงแขนออก เตือนให้นึกไปถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกับยูริเมื่อตอนเย็นอีกครั้งทันที.. ผมมองตามแผ่นหลังภายใต้เสื้อยืดสีเขียวทหาร ที่เดินผละไปยังที่วางโทรศัพท์ แต่ไม่ยักเห็นวี่แววหรือทีท่าใด ๆ บอกว่าปุณณ์จะกดปุ่มรับสายเลย "เฮ้ย! ปุ่มนั้นมันปิดเครื่อง ไอ้ควายยย" เมื่อเห็นว่าปุณณ์งก ๆ เงิ่น ๆ แถมยังคลำมืออยู่บริเวณปุ่มปิดเครื่องแทนที่จะเป็นปุ่มรับสาย ผมก็รีบปรี่เข้าไปโบกเหม่งมันเพื่อเตือนสติทันที ก่อนจะถูกอีกฝ่ายโบกหน้าผาก122
กลับคืนมา "ก็กูจะปิดเครื่องไง ไอ้นี่..." แต่อย่าคิดว่าผมจะยอมมันง่าย ๆ.. ในที่สุด เหตุการณ์ยื้อยุดฉุดกระชากโทรศัพท์ (ที่ยังคงดังอยู่) จึงเกิดขึ้น ผมเหลือบตามองเบอร์โทรเข้าโชว์เป็นรูปเอมหรา จนรู้สึกเจ็บขึ้นมาแปลก ๆ "เอมโทรมา มึงจะปิดเครื่องทำไม" เจ้าของมือถือหลบสายตาผมวูบทันที................ 'Why don't you like me? Why don't you like me? Why don't you walk out the door'......................... เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือดังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเงียบไป ปุณณ์ฉวยโอกาสนั้นกดปิดเครื่องอย่างไม่รอรี แต่ยังช้ากว่ายูริที่โทรเข้ามือถือผมอย่างรวดเร็ว 'ใครจะไปดีได้ทุกชั่วโมง ก็เรามันคนไม่ใช่ละครทีวี~' ผมเหลือบมองไอโฟนตัวเองที่ร้องอยู่ข้างเป้อย่างขำ ๆ "พ่อบ้านหนีเมียว่ะ โทรตามกันให้วุ่น หึหึ.." แต่ขณะที่ผมกําลังจะเดินไปกดรับสายยูรินั้นเอง ดันไม่ทันคนที่ไวเป็นลิงกว่าอย่างไอ้ปุณณ์ เพราะพ่อคุณเล่นคว้าโทรศัพท์จากมือผมไปกดตัดสายปิดเครื่องหน้าตาเฉย ไม่ฟังอีร้าค้าอีรมผมที่ยืนอ้าปากค้างอยู่นี่เลย "เห้ย!! น้อย ๆ หน่อย นั่นมือถือกูนะ..." ถึงตรงนี้ก็เริ่มจะมีนํ้าโหนิด ๆ แล้วครับ ใครแม่งสอนให้มันทำตัวไม่มีมารยาทแบบนั้นฟะ แต่คำประท้วงไหนก็ดูเหมือนจะไม่สะดุ้งสะเทือนกระดูกค้อน ทั่ง โกลนของปุณณ์ เพราะพี่แกเล่นทำหน้าเฉยสนิทก่อนจัดการโยนไอโฟนลงเตียงอย่างไม่ใยดี ขณะที่ผมอ้าปากหมายจะด่าต่ออีกซักรอบสองรอบ ปุณณ์กลับคว้าตัวผมไปกอดไว้แนบแน่นเสียก่อน และผมก็คงจะขัดขืน ถ้าไหล่ของมันไม่ได้สั่นจนน่าตกใจ............... 123
"เป็นไรวะปุณณ์?" คนที่กอดผม ทั้งตัวสั่นและเสียงแหบพร่า.. "คืนนี้ให้มีแต่เราก่อนนะ.... อย่าเพิ่งมีคนอื่นเลย..." "........................" ผมนิ่งมองศีรษะของคนที่กอดผมแน่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย.. ถึงในอกจะรู้สึกโหวงไปหมด แต่ในหัวกลับมีเรื่องราวและความรู้สึกมากมายว่อนไปมาอยู่อย่างประหลาด ผมพยายามจะมองไปบนทางข้างหน้าแต่ก็รู้สึกว่า ผมมองไม่เห็นอะไรนอกจากทางตัน.. จริง ๆ แล้วในเรื่องนี้ ผมเองต่างหากที่เป็นคนอื่น.. ระหว่างปุณณ์กับผมใช้คำว่า 'เรา' ไม่ได้ด้วยซํ้า ผมกับมันไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่ควรเป็นอะไรกัน และไม่มีวันเป็นอะไรกัน ต่อให้ความรู้สึกที่ปุณณ์มีต่อผม หรือผมมีต่อปุณณ์มันจะคืออะไร และมากน้อยเพียงไหน ภาพที่มองเห็นตรงหน้า ก็ยังคงมีแต่ภาพปุณณ์กับเอมที่ควรจะมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่นี้อยู่ดี ผมกอดมันกลับด้วยความรู้สึกเจ็บไปทั้งตัวเหมือนคนกอดลูกทุเรียน.. เพราะยิ่งผมกอดมันแน่นเท่าไหร่ ความรู้สึกเจ็บก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเท่านั้น มันเจ็บจนผมไม่แน่ใจว่าจะทนกอดมันได้ไปถึงเมื่อไหร่ "มึงอย่ามีปัญหากับเอมเพราะกูเลยว่ะ... พูดจริง ๆ" นี่คือคำที่ผมอยากพูดที่สุดในเวลานี้... ปุณณ์ส่ายหัวไปมาในอกผม "กูไม่ได้มีปัญหากับเอมเพราะมึง... กูมีเพราะตัวกูเอง.." เสียงมันฟังดูทั้งสั่นเครือและสับสน เหมือนคนจัดการอะไรตัวเองไม่ถูก อ้อมแขนที่กอดผมไว้นั้นกําลังสั่นไหว บอกถึงสภาพจิตใจเจ้าของมันได้เป็นอย่างดี และผมไม่ควรทำให้แย่กว่านี้.. "พวกมึง... มีปัญหาอะไร.. กัน?" คำถามนี้ต้องการคำตอบ.. แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดกับผม 124
"กูมันเหี้ย.... กูมีเอมแล้วแต่ก็ยังมายุ่งกับมึง.." "คนเหี้ย ๆ เขาไม่ด่าตัวเองว่าเหี้ยกันหรอก... มา มานั่งคุยกันดี ๆ" ผมว่าพลางถอนหายใจพรูแล้วคลายวงแขนออก เป็นฝ่ายนำมันนั่งลงมานั่งบนเตียงเอง ปุณณ์กดปากเม้มแน่น จ้องผ้าปูที่นอนตลอดเวลา ไม่ยอมเงยหน้ามองผม "มึง... กู... ขอโทษว่ะ.." "ขอโทษไร พูดมาให้จบ" "กูกับเอม........... มีอะไรกันแล้ว.." ในที่สุดคำนี้ก็หลุดมาจนได้... ทั้งที่เป็นคำเดียวกัน แต่เวลาฟังจากปุณณ์มันช่างบาดได้ลึกกว่ายูริหลายสิบเท่า จนผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกน็อคหน้าชา.. นัยน์ตาผมไหวอยู่วูบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปมองหน้ามันต่อดังเดิม "เออ... แล้วไงอีก" ปุณณ์สูดลมหายใจลึกอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเงยขึ้นมาสบตาผมเต็มตา "แต่กูก็ยังไม่ห้ามตัวเอง... เวลาอยู่กับมึง.." ดวงตาคมที่มองมา ผมเห็นแต่ความเจ็บปวด... จนบางทีอดคิดไม่ได้ว่า ปุณณ์เองก็คงจะเห็นสายตาแบบเดียวกันจากผมเหมือนกัน ริมฝีปากบางนั้นยังคงพูดต่อทั้งที่ผมเริ่มไม่อยากฟังขึ้นไปทุกที ๆ "กูทิ้งเอมไม่ได้ แต่กับมึงกูก็................. กูไม่รู้จะทำยังไง.." ถึงตรงนี้ปุณณ์เริ่มผลุบหน้าลงตํ่า พร้อมขยำผ้าปูที่นอนจนยู่ยี่.. เห็นดังนั้นผมจึงเอื้อมมือตัวเองไปกุมมือมันไว้แผ่ว ๆ เพราะผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้ต้องเป็นผมเท่านั้นที่พูดเอง "มึงฟังนะ..." นี่คือความพยายามที่ลำบากมากที่สุดในชีวิตผม.. "เอมเป็นผู้หญิง.. เขาเสียหายแล้ว มึงจะทำงั้นไม่ได้... มึงต้องกลับไปดูแลเขา.... ส่วนกูเป็นผู้ชาย กูไม่มีอะไรเสียหาย" ทั้งที่คิดว่าเป็นแค่คำพูดธรรมดาที่สุดแล้ว แต่ปุณณ์กลับสปริงหัวขึ้นมาราวกับได้ยินเรื่องผีอย่างไงอย่างงั้น 125
"โน่.... ไม่พูดต่อ..." เสียงนั้นขู่แกมบังคับผม แต่ผมรู้ดีว่าจะยอมมันไม่ได้.. ความพยายามที่เหนื่อยที่สุดในเวลานี้คือการส่งยิ้มออกไป "ไปหาปืนกาวมายิงปากกูเด่ะ... เอาเป็นว่าเรื่องมึงกับกูเฉย ๆ ไปแล้วกัน กูไม่คิดมาก" ผมพูดทั้งรอยยิ้มพลางมองหน้าปุณณ์ที่อ้าปากทำท่าอยากเถียงอยู่แว่บหนึ่ง แต่ไม่มีทางไวกว่าผม "บอกอีกรอบ กูไม่ใช่ผู้หญิง สาดด" จบคำนี้ผมถูกปุณณ์รวบข้อมือไว้ทันที "โน่เข้าใจไหมว่ามันไม่เกี่ยว.. ไม่เกี่ยวกับว่าใครเป็นอะไร แต่เกี่ยวกับปุณณ์ทำอะไรลงไปแล้วบ้าง โน่เข้าใจรึเปล่า!" นัยน์ตาคมนั้นจ้องผมนิ่งจนไม่กล้าหลบตา ผมมองลึกลงไปในลูกแก้วสีดำสนิทคู่นั้นที่หมองจนดูยังไงก็ไม่คุ้น.. ริมฝีปากบางของปุณณ์ยังคงพูดต่อ "ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว.. โน่ไม่พูดได้มั้ยว่าจะไป.." แน่นอนว่าผมขืนมือออกจากพันธนาการนั้นพร้อมเสียงหัวเราะที่สู้อุตส่าห์เค้นแทบตาย "ฮะฮะฮะ.. ไอ้ห่า....... มึงอย่ามาทำเป็นพระเอก อยากเป็นอิสลามเมียสี่รึไง" แม้จะรู้สึกเหมือนร่างกายไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรอีก แต่ก็ยังคงมีเรื่องที่ต้องพูดต่อไป.. "แล้วก็อย่าลืมว่ากูมีแฟนแล้วเหมือนกัน.. ช่วงนี้งานบอลทำกูโคตรยุ่งด้วย ไอ้เอิ้นจะให้ band ช่วยตั้งหลายอย่าง ดังนั้นกูไม่ว่างรับจ็อบเป็นแฟนมึงอีกคนหรอก เหนื่อยย โอทีก็ไม่ได้" ตลกปะครับ... มันไม่ขำหวะ... ผมฝืนหัวเราะให้มันฟังทั้งที่ก้อนนํ้าตามาจุกอยู่ตรงคอหอยแล้ว ผมอ่านออก ว่าสายตาของปุณณ์ที่มองมาทางผมต้องการจะบอกว่าอะไร และผมก็รู้ ว่าปุณณ์อ่านออก.. ถึงสายตานี้ที่ผมต้องการบอกมัน เรื่องหลังจากนี้ คงไม่เหลืออะไรให้ปากพูดอีก.. ผมกับปุณณ์หยุดมองหน้ากันนิ่ง จนเดินมาถึงจุดสุดท้ายของอารมณ์.. ผมยอมรับว่าตัวเองไม่เหลือความอดทนอีกต่อไป 126
"ปุณณ์!" ผมโพล่งชื่อมันออกมาพลางโถมตัวเข้ากอดเจ้าของชื่อนั้นแน่น อ้อมแขนปุณณ์ที่ตอบรับผมเป็นไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ในเวลานี้ผมไม่เหลือความเข้มแข็งอีกต่อไป มีแต่เสียงคนเห็นแก่ตัวดังก้องอยู่ในใจว่า ผมไม่อยากปล่อยปุณณ์ไป "โน่...?" "มึง...." "ว่าไงครับ.." "จนกว่าจะเช้า.... อย่าเพิ่งปล่อยกูนะ" ตอนเริ่มรักแทบไม่ต้องใช้เวลา... แต่ทำไมพอจะจากลา มันทรมานอย่างนี้ล่ะครับ
Special CHAOS Can you hear it. เสียงจากปุณณ์ "ปุณณ์! ช่วยดูงบชมรมเราให้หน่อยสิ นะ ๆๆ หายไปตั้งสองหมื่นกว่าแน่ะ จะบ้าตายอยู่แล้ว" นี่คือการปรากฎตัวของโน่ที่เซอร์ไพร์สผมที่สุดในรอบหลาย ๆ ปี.. เรารู้จักกันก็จริงครับ แต่ไม่เคยมีเรื่องต้องคุยกันสองคนแบบนี้มาก่อน และแต่ละครั้งที่คุย ก็ไม่เคยมีประโยคไหนที่ยาวขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน.. นึกถึงวันนั้นทีไรก็ยังอดยิ้มไม่ได้ เพราะปกติแล้ว หน้าขาว ๆ ของโน่ที่ผมเห็นประจำมักเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์เสมอ เดี๋ยวมันก็โวยวาย เดี๋ยวทำหน้ากวนตีน บางทีทำเหมือนกําลังวางแผนชั่วอะไรซัก127
อย่างอยู่กับบรรดาเพื่อนของมัน หรือไม่ก็ทะเล้นทะลึ่งไปเรื่อย แต่วันนั้นแปลกหน่อยที่มันทำหน้าเดือดร้อนสุดชีวิตมาหาผมแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำเอาต้องกลั้นขำ สารภาพก็ได้ครับว่าผมชอบแอบมองโน่บ่อย ๆ เพราะมันหลากหลายดี เห็นหน้ามันทีไรก็ผ่อนคลายอารมณ์จากเครียด ๆ ให้ได้หัวเราะขำทุกที แต่สาบานได้ว่าถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับโน่สักครั้ง เพราะโน่เป็นเพื่อน(ห่าง ๆ)ที่ร่าเริงของผมเสมอ ผมรู้ว่าโน่น่ะแมนเต็มร้อย เคยได้ยินว่ามีแฟนอยู่ที่เดียวกับแฟนผม แต่ไม่เคยรู้ว่าคนไหนเหมือนกัน ก็ได้แต่แอบคิดว่าเวลาเจ้านี่อยู่กับแฟนจะเป็นยังไง จะกวนตีนเหมือนเวลาอยู่โรงเรียนไหม (แฟนมันคงเครียดอะครับ) หรือที่จริงแล้วอาจจะสวีทหวานนํ้าตาลขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลยก็ได้.. ใครจะรู้ คำที่ผมต่อรองโน่ไปวันนั้นก็เกิดจากความบริสุทธิ์ใจล้วน ๆ เช่นกัน... ผมขอร้องมันโดยไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่ง ทั้งผมและโน่ จะตกหลุมกันและกันจนแทบถอนตัวไม่ขึ้น Aim : ยูริออนแล้วเรียกด้วยจ้ะ พูดว่า: ปุณณ์อย่าทิ้งเอมไปไหนนะ แต่ความจริงไม่เคยมีอะไรง่ายอย่างที่ใจคิด.. ผมนิ่งมองข้อความนั้นที่ส่งผ่านโปรแกรม msn มาทางจอคอมพิวเตอร์ของผม ก่อนจะถอนหายใจยาว ผมรู้สึกว่าปลายนิ้วชี้ตัวเองเคาะเม้าส์เบา ๆ เหมือนคนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ทั้งที่จริง ๆ แล้วสมองว่างเปล่า... ไม่ใช่ว่าผมจะใจร้ายไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าพยายามคิดแล้วคิดอีกยังไงก็ไม่เคยเห็นทางออก จนกระทั่งเรื่องเดินทางมาจนถึงจุดนี้... ผมก็กลายเป็นเหมือนคนวิ่งหนีความจริงไปโดยปริยาย.. หลายครั้งผมทบทวนตัวเองจนไม่อยากเชื่อว่าทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง สิ่งที่ผมรู้สึกกับโน่คืออะไรกันแน่... ผมรักโน่งั้นเหรอ?... ผมไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะมอบสิ่งยิ่งใหญ่ขนาดนั้นให้เพื่อนที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ชีวิตผมแบบเต็ม ๆ เมื่อวันพุธได้ 128
ผมไม่สามารถจำกัดความคำว่า 'รัก' ให้เจ้านั่นได้อย่างเต็มปาก... แต่ผมอยากมีมัน การมีโน่อยู่ข้าง ๆ ผมในระยะเวลา 1 อาทิตย์ที่ผ่านมากลายเป็นสมบัติที่มีค่ามาก ทุกครั้งที่ผมตื่นมาแล้วเห็นหน้าโน่หลับอยู่ข้าง ๆ ผมอดคิดไม่ได้ว่าในเช้าวันต่อ ๆ ไปก็ขอให้เป็นแบบนี้อีก... จนกระทั่งเราก้าวลํ้าเส้นความเป็น 'เพื่อน' ระหว่างกัน ผมรู้ว่ามันเชี่ยมากที่ทำอย่างนั้น ทั้งที่คนอย่างผมไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นกับใครได้อีกแล้ว ผมอยากเป็นลูกผู้ชายพอที่จะรักเอมได้ตลอดรอดฝั่ง ผมอยากประคับประคองความสัมพันธ์ของผมกับเอมไว้ให้สมกับที่เธอไว้ใจ แต่ผมกลับแพ้ภัยตัวเองอย่างร้ายกาจ ผมโกหก... ที่พูดว่าบริสุทธิ์ใจตอนขอให้โน่แกล้งมาเป็นแฟนด้วย.. ผมโกหก.. ที่จริงแล้วผมดีใจมากที่เป็นโน่เข้ามาในช่วงเวลานั้นพอดี... โน่ที่เป็นเพื่อนห่าง ๆ ของผม โน่ที่เมื่อแปดปีก่อน เคยชักเย่อแข่งกับผมจนล้มระเนระนาดหัวเข่าถลอกกันทั้งคู่ โน่ที่เมื่อห้าปีก่อนเคยแสดงเป็นโหรคู่กับเจ้าเมืองซึ่งคือผมในงานสัปดาห์วันภาษาไทย โน่ที่เมื่อสองปีก่อนเคยถูกรถเก๋งลากมางานเลี้ยงวันเกิดบ้านผมด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ และพยายามพูดเพราะตลอดเวลาจนอดแอบมองไม่ได้ ว่ามันจะทำตัวเปิ่น ๆ อะไรในงานบ้างหรือเปล่า... โน่คนที่ผมคิดเสมอว่าถ้าเจอเด็กผู้หญิงแบบนี้คงจะดีไม่น้อย... ผมคิดอยู่บ่อย ๆ ว่าอยากให้เอมสดใสได้เท่าโน่ ถึงจะโวยวายกระโชกโฮกฮากทำตัวนักเลงโตไปบ้าง แต่ดวงตากลมแป๋วนั้นก็ฉายแววเป็นมิตร และความจริงใจอยู่เต็มเปี่ยม ผมท้าทายตัวเองด้วยการขอร้องคนที่ผมสนใจเป็นพิเศษมาตลอดให้แกล้งเป็นแฟนผมให้ โดยปลอบใจตัวเองว่าถึงยังไงโน่มันก็เป็นผู้ชาย ถึงจะน่ารักน่าเอ็นดูยังไง ผมก็คงไม่มีทางคิดอะไรแปลก ๆ กับเจ้านี่ได้เด็ดขาด แต่ยิ่งนานวัน ผมก็ยิ่งรู้ว่าผมประเมินค่าตัวเองสูงไป.... ใจผมไม่ได้แข็งเท่าที่คิดเลย.. 129
โทรศัพท์เครื่องสีดำตั้งเงียบ ๆ อยู่ตรงหน้า เช่นเดียวกับผมที่ยังคงเงียบ.. ไม่ได้ตอบอะไรเอมกลับไปในหน้าต่าง msn บานนั้น ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรไปแล้ว.. เพราะถ้าเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนผมคงพิมพ์ตอบเอมกลับไปด้วยความยินดีว่าไม่ว่าวันไหนผมก็จะไม่มีวันทิ้งเธอ... แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกว่ามือแข็งเป็นหิน ไม่สามารถตอบอะไรเพื่อทำให้ตัวเองดูดีได้เลยจริง ๆ เพราะผมรู้อยู่แก่ใจว่าผมมันเลวแค่ไหน.. นิ้วชี้ผมเลื่อนจากเม้าส์ที่จับอยู่ไปจิ้มยังปุ่มเบอร์โทรออกล่าสุดที่เพิ่งพยายามกดหาไปเมื่อหัวคํ่า แต่ก็ตัดสินใจวางสายก่อนเสียงสัญญาณจะดัง เพราะผมไม่ค่อยแน่ใจว่าโทรไปหาแล้วจะคุยอะไร (ถ้าถามว่าเจ็บไหมก็คงโดนมันด่ากลับ)... แล้วเจ้าตัวจะยินดีคุยกับผมอยู่รึเปล่า แต่นิ้วมือก็ไปได้ไวกว่าความคิด เมื่อมันกดโทรออกทันที ผมกดเปิดลำโพงโทรศัพท์ ได้ยินเสียงสัญญาณดังเพียงไม่นาน อีกฝ่ายก็รับสายด้วยนํ้าเสียงนักเลงตามแบบฉบับมัน "โทรมาไม กูอยู่หน้าห้องมึง......." ผมแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเปิดประตูออกไปพบว่าโน่ยืนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ.. โลกของผมหยุดนิ่ง เพราะหลังจากนั้นไอ้คนท่าทางกวนตีนตรงหน้าจะทักทายด้วยคำว่าอะไรผมไม่สนแล้ว สิ่งเดียวที่ร้องก้องอยู่ในหัวผมตอนนี้คือ ผมอยากมีโน่ อยากให้โน่อยู่ข้าง ๆ ผมต่อไป 130
ไม่ต้องถึงกับตลอดชีวิตก็ได้ ขอแค่ในเวลานี้ ที่เรายังรู้สึกดี ๆ ต่อกัน ผมอยากเก็บรักษาช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ให้ลึกที่สุด เผื่อว่าวันหนึ่ง วันที่ผมอาจจะต้องกลายเป็นของใคร ผมจะได้ไม่ลืมเวลานี้ เวลาที่เคยมีโน่... เวลาที่เป็นเหมือนสมบัติชิ้นลํ้าค่าในใจผม "บางแสนมะ ใกล้ ๆ?" "เดี๋ยวตอนเช้าพาไปส่งให้ทันสอบ... มาเร็ว!" หึหึ... หน้ามันเหวอตลกดีครับ โวยวายเสียงดังอย่างที่ผมคิดไว้เปี๊ยบ แต่โบราณว่าด้านได้อายอด ผมไม่สนใจหรอกว่าโน่จะโวยวายขนาดไหน เพราะหลังจากวันนี้ไป ก็ไม่รู้แล้วเหมือนกันว่าเราจะยังเหลือโอกาสกันอยู่อีกหรือเปล่า เพราะแววเศร้าหมองในดวงตาโน่ แจ้งให้ผมรู้ดีว่าโน่มาทำไม.. หากหลังจากนี้จะมีอะไรเปลี่ยนไป.. ผมขอแค่โอกาสสุดท้าย.. ที่เราจะอยู่ด้วยกันนาน ๆ ตลอดทางบนรถ ถ้าแค่โน่หันมามองผมบ้าง โน่คงรู้ว่าผมกลํ้ากลืนฝืนทนขนาดไหน กับคืนสุดท้ายที่กําลังจะผ่านพ้นไป ที่ร้านอาหาร ถ้าแค่โน่เชื่อใจผมบ้าง โน่คงรู้ว่าถึงผมจะไม่สามารถลืมเอมได้ แต่ความคิดว่าจะทอดทิ้งโน่ไปไหน ก็ไม่เคยมีอยู่ในหัวผมเช่นกัน ในห้องคืนนั้น... ถ้าแค่โน่เห็นแก่ตัวกับคนอย่างผมบ้าง.. ถ้าแค่โน่เชื่อ.. และปล่อยเรื่องทั้งหมดให้ผมตัดสินใจ.. ผมพร้อมจะทิ้งความจริง ความดีงาม ความถูกต้องทุกอย่าง 131
ผมพร้อมเสมอ ที่จะกอดโน่ให้นานเท่าที่โน่ต้องการ แต่โลกแห่งความจริงและความฝันก็เป็นแค่เส้นขนาน ผมเหลือเพียงคืนนี้เท่านั้น... ที่ผมกับโน่จะไม่ใช่เพื่อนกัน ผมไม่สามารถกอดโน่ได้นาน เท่าที่ผมต้องการ.. อีกต่อไป ปุณณ์.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น