เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
กลายเป็นอาทิตย์สุขสันต์สำหรับพวกเราทุกคนเลยครับ เพราะผลงานบอลออกมาดี ทุกคนเลยพลอยอารมณ์ดีไปด้วย
ขนาดมาสเตอร์เฟี้ยมที่ปกติต้องยืนปั้นหน้าเหวี่ยงเด็กบริเวณประตูทางเข้าเป็นประจำ อาทิตย์ที่ผ่านมาผมยังไม่เห็นแกเลยครับ
สงสัยมัวแต่ปลื้มใจจัด เออ เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมชอบบบ (ไม่ต้องคอยเอาเสื้อยัดในกางเกง)
^___^ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น พระเจ้าก็ยังไม่เคยเห็นใจผมครับ!
เพราะแม้จะเป็นอาทิตย์สุขแสนสำหรับทุกคน... แต่สำหรับผมน่ะ.........
เสือกเป็นอาทิตย์นรกดี ๆ นี่เอง -_-" ซึ่งอันที่จริงผมก็ลืม
ๆ ไปแล้วว่าช่วงชีวิตที่ปกติสุขน่ะมันเป็นยังไง เพราะนับแต่วันแรกที่ได้รับมอบหมายตำแหน่งประธานชมรมดนตรีต่อจากพี่โอ๊ค
(อย่างขืนใจ) จนถึงวันนี้.. ชีวิตผมก็ยังหาความสงบสุขไม่ได้ แม้ในช่วงเวลาที่คนอื่นเขาแฮปปี้กัน แต่ไอ้ประธานชมรมดนตรีผู้น่าสงสารอย่างผมยังต้องวิ่งไปวิ่งมาหัวปั่นอยู่เลยครับ
200
ก็จะอะไรซะอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเหลือแค่ไม่กี่อาทิตย์ก็จะถึงงานไลฟ์คอนเทสต์ที่ชมรมผมรับหน้าที่เป็นโต้โผจัดกันประจำทุกปีอยู่แล้ววว
งานนี้มีไว้เฟ้นหาวงดนตรีที่ดีที่สุดเพื่อทำชื่อเสียงคุณประโยชน์ให้แก่โรงเรียนต่อไปครับ
ซึ่งถือเป็นเป็นงานเปิด ไม่ใช่คนในชมรมดนตรีก็สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ เพราะอยู่ชมรมดนตรีไม่ได้หมายความว่าจะเก่งที่สุดเสมอไป (ดูไอ้โอมซิ
โง่ชิบหาย) (โอ๋... ล้อเล่นครับ มันก็มีดีของมัน......
รึเปล่าวะ) อย่างเช่นไอ้เอิ้นก็มาสมัครครับ
(มันอยู่ชมรมเชียร์) จริง ๆ แล้วมันร้องเพลงเพราะครับไอ้นี่
ผมเคยจีบมาช่วยชมรมเราหลายทีละ มันก็ช่วยบ้างปฏิเสธบ้าง แล้วแต่จะสะดวกอะนะ คราวนี้เอิ้นมาพร้อม
ๆ เพื่อนสต๊าฟเชียร์ของมันครบวง คงสนุกมันล่ะ ปุณณ์เองก็มีรายชื่อติดอยู่ในวงหนึ่งเหมือนกัน
(ไปซุ่มฟอร์มวงมาตั้งแต่ตอนไหนวะนั่น) ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเล่นกีต้าร์นี่แหละครับ
มันเล่นดนตรีเก่ง (เคยได้เดี่ยวเปียโนในงานคริสมาสต์เมื่อ
3-4 ปีที่แล้วด้วยมั้ง) เราเคยเกือบได้อยู่ชมรมเดียวกันแล้วด้วยครับ
ถ้ามันไม่ได้เก่งจัดซะจนโดนบราเดอร์ลากไปทำงานให้สภานักเรียนก่อน มันก็คงอยู่ชมรมดนตรีกับผมนี่แหละ
(หรือมันจะอยู่ชมรมบาสหว่า... คิดไปคิดมา ชมรมซึโดคุก็ได้
ชมรมคำนวณก็ดี... เออ สรุปว่ามันเก่งหลายเรื่องครับ ปล่อยมันไปทำสภาฯแหละดีแล้ว)
นอกจากนี้ยังมีอีกล้านแปดแสนวงเดินแถวกันเข้ามาสมัครยั้วเยี้ยเต็มไปหมดเหมือนอยากช่วยเพิ่มงานให้ผม..
ให้มันได้อย่างงี้เซ่! (จะขยันอะไรกันนักหนา)
เดี๋ยวอาทิตย์หน้าคงต้องเปิดแข่งรอบคัดเลือกก่อนขึ้นเวทีใหญ่รอบนึง ไม่งั้นมีหวังผมได้จัดงานยาวถึงตีสามแหง๋
(โลกร้อนครับ ไม่ดี) (ที่จริงไม่มีตังช่วยโรงเรียนจ่ายค่าไฟ)
"เป็นไรโน่... เงียบเชียว" แต่ก่อนที่ผมจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ เสียงไอ้ปุณณ์ดันสะกิดให้ตื่นจากภวังค์(แห่งความเครียด)เสียก่อน ผมสะดุ้งมองนอกกระจกรถ ที่ตอนนี้เปลี่ยนวิวทิวทัศน์เป็นทุ่งนาของตัวจังหวัดราชบุรีไปแล้ว
"มึงอย่าเสียงดัง.. กูกําลังเงี่ยหูฟังเสียงทะเลอยู่"
ผมบอกปัดมันมั่ว ๆ ได้ยินเสียงไอ้ปุณณ์หัวเราะหึ ๆ พลางบ่นอะไรทำนองว่า
ผมบ้า ซักอย่าง 201
หึหึ.. ตกใจล่ะสิว่าวันนี้ผมมาอยู่นี่กับมันได้ยังไง..
วันนี้ผมโดดเรียนครับ! งดหน้าที่ประธานชมรมดนตรีไว้ชั่วคราว
(ที่แม่งช่วงนี้เนื้อหอมชิบหาย ใคร ๆ ก็เรียกหา) มานั่งเจ๋ออยู่บนรถเก๋งสีดำคันเดิมของไอ้ปุณณ์ สืบเนื่องจากที่เผอิญตกปากรับคำสาว
ๆ ไว้ ว่าจะไปเที่ยวหัวหินด้วยกันเมื่ออาทิตย์ก่อน จริง ๆ แล้วผมว่านี่เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันครับ
เพราะจะได้ถือโอกาสหนีจากไอ้พวกบ้านั่นที่เจ้าปัญหาไม่รู้จบ (พี่ครับใบสมัครยับได้ไหม พับได้หรือเปล่า ผมอยากเปลี่ยนชื่อวง เล่นเพลงไทยสากลหรือฝรั่งดี
นักดนตรีไม่ครบยืมวงอื่นได้ไหม เอาแฟนมาดูด้วยได้รึเปล่า แมวที่บ้านไม่กินปลาทูควรจะทำไง...
พ่อมึงสิ) ตอนนี้ผมกําลังนั่งอยู่บนเบาะด้านหลังคนขับครับ
ซึ่งแน่นอนว่าเอมนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถคู่กับปุณณ์ ส่วนผมกับยูริ เรานั่งข้างหลังกัน
"โน่ กิน ๆ" ยูริยื่นถุงสีแดงของขนมโดริโทสที่เธอแวะตุนจากวิลล่าไว้ตั้งแต่เมื่อคืนส่งให้ผม
แน่นอนว่าเรื่องกิน(ขนม)ผมไม่มีขัด ผมหยิบกินพลางถามไอ้ปุณณ์ไปด้วย
"กินป่าวมึง" "ไอ้ห่านี่..
ชวนเหมือนเป็นเจ้าของเอง" แต่แม่งเสือกด่าผมกลับซะงั้น
เฮ้ย!! คนชวนดี ๆ ก็กวนตีนวะ!!!! เสียงยูริหัวเราะคิกคักกับการทะเลาะกันเป็นเด็ก
ๆ ของพวกเราก่อนจะยื่นถุงขนมให้ปุณณ์เอง "กินสิคะ ขนมถุงเบ้อเร้อ
ยูกินเองไม่ไหวหรอก" ผมเหล่ตามองไอ้หน้าหล่อที่ทำเป็นอิดออดเกรงใจอยู่พักนึงแต่ก็กินอยู่ดี..
เหอะ ๆ บางทีก็หมั่นไส้อยากจะถีบมันจริง ๆ "เอมกินไหมครับ" ปุณณ์หันไปถามแฟนตัวเองหลังจากที่เพิ่งรู้ตัวว่าปล่อยให้เอมนั่งเงียบมาได้พักใหญ่แล้ว
ผมลอบมองหน้าสาวเจ้าที่งอหงิกนิดหน่อยอย่างงง ๆ เห็นเธอหันหนีไปมองนอกหน้าต่างก่อนจะพูดว่า
"เอมไดเอท.........." ไม่รู้นี่เป็นคำตอบหรือแค่ประโยคบอกเล่าธรรมดาแฮะ..
แต่ก็ช่างเหอะเพราะยังไงผมก็จะกินขนมต่ออยู่ดี "เราสองคนเป็นคู่อ้วนเนอะโน่เนอะ" ยูริว่าคำนั้นพลางหันมายิ้มโชว์เขี้ยวสวย
เรียกให้ผมยิ้มกลับ "ช่ายยย 202
ไปทะเลเราก็จะไม่จม เพราะเรามีห่วงยาง" ผมต่อปากต่อคำจนได้ยินเสียงเธอหัวเราะร่ากลับมา "แต่ถ้ามีลูก ลูกจะมีพุงเหมือนเราไม่ได้นะ ต้องเป็นเด็กสุขภาพดี"
แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก... สำลักขนมครับ!
เจอมุกแบบนี้เข้าผมไปต่อไม่ถูกเลย ได้แต่ปล่อยผงโดริโทสพ่นออกจมูกอย่างทรมานจนน่าสงสาร
ในขณะที่ยูริหัวเราะขำตัวงอ "โน่!!!!!! ยูพูดเล่น!!!!!!!!! ทำไมตกใจขนาดนั้นล่ะ ฮะฮะฮะ อะนํ้า
ๆๆ" เธอหัวเราะพลางกุลีกุจอรินนํ้าจากขวดยื่นให้ ก็เข้าใจล้อเล่นนะผู้หญิงสมัยนี้
สนุกใช่ไหมที่ทำผมใจหล่บวูบบบ ลงไปกองอยู่ตาตุ่มได้เนี่ยยย ผมรับแก้วนํ้ามาพลางเหลือบมองปุณณ์
ที่แอบมองผมผ่านกระจกมองหลังนั่นอยู่แล้ว ขำอะไรวะ ไอ้ห่าาา *** ปุณณ์ขับรถไปเรื่อย ขณะที่ผู้โดยสารอย่างเอม ยูริ และผม ชวนคุยกันตลอดทาง เราแวะปั๊มหลายที่
ซึ่งทุกที่ยูริก็มักได้ขนมติดไม้ติดมือมาเสมอ (เธอบอกว่าตุนไปกินต่อที่โรงแรมครับ
เชื่อเขาเลย) หรือบางทีผมกับยูริก็ผลัดกันเลือกแว่นกันแดดรูปทรงประหลาด
ๆ เล่นเสียงดังบ้าง ในขณะที่คู่ของปุณณ์และเอมดูจะอยู่กันเงียบ ๆ มากกว่าที่ผมคิด เพราะไม่ว่าจะหันไปมองกี่ครั้ง
ก็มักเห็นปุณณ์เป็นฝ่ายเดินตามเอมอยู่เสมอ จนในที่สุดเราก็มาถึงรีสอร์ทที่พักตอนบ่ายแก่
ๆ เย้!.. ผมก้มลงมองนาฬิกาตัวเองที่บอกเวลาบ่ายสามโมงกว่าขณะที่ปุณณ์และเอมเป็นธุระเดินไปเช็คอินให้
"รีสอร์ทเขาน่ารักมากเลยเนอะ" ยูริพูดพลางทิ้งนํ้าหนักตัวลงนั่งบนโซฟาทรงโมเดิร์นกลางล็อบบี้อย่างสำราญใจ
เธอขย่มมันนิดหน่อยสปริงเบาะคงจะเด้งดึ๋งสะใจเธอดี ผมแอบนึกขำ "โซฟาขนหางกระรอกเลยนะเนี่ย" "จริงเหรอ!!!!?"
ลุกพรวดพราดเร็วมากครับพี่น้อง.. อันนี้ต้องทำความเข้าใจกันนิดนึงว่ายูริเขาเป็นชมรมคน203
รักสัตว์ตัวเล็ก ๆ รักซะจนผมคิดว่าคงจบไปทำงานกับกรีนพีซได้เลย
ไม่มีปัญหาแน่ ๆ ดังนั้นเรื่องทรมานสัตว์เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับยูริที่ผมรู้ดี (ครั้งนึงเธอเคยห้ามไม่ให้ผมเล่นเกมชิพกับเดล
เพราะสงสารไอ้กระรอกสองตัวที่ต้องถูกฝ่ายตรงข้ามทุ่มแอ๊บเปิ้ลใส่) "ซะเมื่อไหร่.." แน่นอนว่าพอสิ้นคำปุ๊บ ผมก็โดนหมอนที่ตั้งอยู่บนโซฟาเขวี้ยงอัดหน้าปั๊บทันที
ฮ่า ๆๆ (หาเรื่องให้ตัวเองทำไมวะเนี่ย) พวกผมสองคนยืนขำคิกคักพลางแกล้งหยอกกันไปมาอยู่อีกพักใหญ่ จนกระทั่งเอมและปุณณ์เดินกลับเข้ามาพร้อมพวงกุญแจห้องในมือ
"เล่นไรกันสองคนนี้" เสียงเอมถามยิ้ม
ๆ เมื่อยังคงเห็นพวกผมสองคนส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายกันอยู่ แน่นอนว่ายูริได้ทีก็รีบฟ้องเพื่อนยกใหญ่
"โน่ขี้แกล้งมากเลย ฉันทนไม่ไหวแล้ว เด็กโรงเรียนนี้ขี้แกล้งเหมือนกันทุกคนรึเปล่าปุณณ์!"
อ้าวเฮ้ย! อยู่ ๆ เหมาสถาบันซะงั้น ปุณณ์ยิ้มรับคำนั้นของยูริพลางมองผมขำ
ๆ "มันคนเดียวครับยูริ" แล้วไอ้สัดนี่ก็ไม่ได้ช่วยกูเล้ย
ผมเหล่ตามองมันก่อนจะแหย่ยูริต่อ "ยูริก็ขี้แกล้งเหมือนกัน
สาว ๆ โรงเรียนนี้เขาเป็นงี้กันทั้งโรงเรียนเลยรึป่าวครับเอม" แล้วก็เป็นเพราะคำถามนั้น ผมเลยโดนยูริตีแขนเข้าไปอีกหลายฉาด (อู่ยย.. เจ็บนะเนี้ย) แน่นอนว่าเอมหัวเราะขำความเพี้ยนของพวกผม
"ยูริกับโน่สนิทกันดีจังเนอะ งี้ให้นอนด้วยกันแล้วกัน"
เธอว่าอย่างนั้นพลางยื่นกุญแจห้องพวงหนึ่งมาให้ แต่ผมอึ้งสนิท ได้แต่มองกุญแจดอกนั้นสลับกับหน้าปุณณ์ไปมาอย่างไม่แน่ใจ
สีหน้าเจ้านั่นดูหนักใจขึ้นมาทันที "เอมครับ.....
ปุณณ์นึกว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ" "ปุณณ์พูดเองเออเองอยู่คนเดียวต่างหาก" เอาล่ะจุ้ย.....
เกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้ล่ะครับเนี่ย.. ผมกับยูริเริ่มปิดปากเงียบพลางลอบมองหน้ากันเองอย่างงง
ๆ ขณะที่ปุณณ์กับเอมยังคงต่อล้อต่อเถียงกัน "ถ้ารู้ว่ามาเที่ยวกันแล้วจะให้นอนคนละห้อง
เอมไม่มาด้วยหรอก!" แต่เป็นเพราะเสียงค่อนข้างดังของเอม
ทำให้พวกพนักงานในล็อบบี้หันมามองเราแบบแปลก ๆ ขณะที่ปุณณ์ส่ายหัวระอาก่อนจะดึงให้เอมตามออกไปยังบริเวณอื่น
(ที่ไม่ค่อยมีคน) 204
"รอแป๊บนะโน่ ยูริ" มันหันมาบอกพวกผมแค่นั้น ผมจึงได้แต่ยืนคอยต่อไปอย่าง งง ๆ ยูริล้มตัวนั่งบนโซฟาอีกที
"เอมเขาคงอยากนอนห้องเดียวกับปุณณ์น่ะ" แต่ผมที่กําลังจะนั่งตามไม่ค่อยเข้าใจความคิดของผู้หญิงสมัยนี้เท่าไหร่
"ไม่ดีหรอก.." นี่คือความคิดของผม
"ทำไมล่ะ ก็เขามีอะไรกันแล้วนะ นอนด้วยกันก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอไงโน่"
ยูริยังคงพยายามเข้าข้างเพื่อนตัวเองอยู่ จนดูเหมือนจะลืมเรื่องอื่น
ๆ ไปสนิท "แล้วเราล่ะ?" ผมจึงหวังว่าคำถามของผมจะทำให้เธอฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง
ท่าทางยูริซึมไปจนผมต้องพูดต่อ "ชายหญิงนอนห้องเดียวกันคนอื่นมองไม่ดีหรอกครับ
ผู้ชายเราไม่มีอะไรเสียหาย แต่ยูริกับเอมจะแย่เอารู้มั้ย... มีคนรู้จักพ่อแม่ผ่านมาเจอเข้าจะทำไง
ผมไม่มีตังค์ไปสู่ขอนะเนี่ยย" ผมพยายามพูดติดตลกพลางลูบผมหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่ข้าง
ๆ เพราะไม่อยากให้เธอคิดมาก แต่คำถามที่ได้รับกลับมาทำเอาผมสะอึก "โน่รังเกียจยูเหรอ.." "ทำไมพูดงั้นอะครับ"
นัยน์ตากลมแป๋วของยูริเริ่มจะแดง ๆ ขึ้นมาจนน่าหวั่นใจ...
"ก็โน่...... ไม่เคยแตะต้องยูเลย"
เฮ้ยย.. อย่าร้องนะ ไอ้โรคแพ้นํ้าตาผู้หญิงมาก
ๆๆ เนี่ย ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็น "เฮ้ยย-- ไม่ดีรึไง ผมให้เกียรตินะ" "โน่รังเกียจ"
205
"ผมให้เกียรติ"
"รังเกียจ" "ให้เกียรติ"
"โน่..........................." เมื่อทำท่าว่าจะเถียงไม่ชนะเธอจึงเปลี่ยนเป็นยื่นปากแบบเด็ก
ๆ แทน จนผมอดขำกับท่าทางแบบนั้นไม่ได้ "ยูเองก็โตแล้ว เข้าใจผมหน่อยสิ"
ผมพูดพลางตบหัวปลอบเธอเบา ๆ (ไม่แรงอย่างเวลาตบหัวไอ้โอม)
"แต่ยูอิจฉา..... เวลาเพื่อนคุยกันเรื่องนั้น.....
มันเหมือนกับเขารักกันมาก"
"....................." ยิ่งพอได้ยินแบบนั้น ผมก็ยิ่งไม่รู้จะตอบว่ายังไง
คงเป็นเพราะผมรู้ตัวเองดีว่าคงไม่มีทางให้ในสิ่งที่ยูริต้องการได้ นัยน์ตาของเธอแดงกํ่า
จนผมได้แต่กุมมือเล็กไว้เบา ๆ อย่างต้องการปลอบใจ ยูรินั่งเงียบ ก่อนจะเปิดปากพูด
"ยูรู้ว่าโน่ไม่เคยรักยูเลย.... ไม่ว่ายูจะพยายามแค่ไหน
โน่ก็ไม่เคยรักยู.." พร้อมปล่อยหยดนํ้าตาร่วงบนหลังมือผล็อย
จนใจผมหายวาบ.. รู้สึกตัวอีกครั้ง ยูริก็ร้องไห้จนตัวโยนในขณะที่ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง
ผมไม่ถนัดการปลอบใจผู้หญิงจริง ๆ ที่ทำได้อย่างมากก็เพียงกุมมือเธอให้แน่นขึ้นเท่านั้น
"ยูเป็นอะไรน่ะ!?" เสียงเอมดังจากข้างหลังจนผมต้องเงยหน้ามองอย่างต้องการขอความช่วยเหลือ
ท่าทางทั้งปุณณ์และเอมอึ้งไปเมื่อเห็นยูริร้องไห้อยู่ ครู่หนึ่งยูริก็เป็นฝ่ายลุกเอง
"เอม.... เราอยากพัก ขอเข้าห้องก่อนนะ"
เธอพูดพลางหันไปคว้าเอากระเป๋าสัมภาระ และถุงข้าวของต่าง ๆ เดินนำออกไป
โดยมีเอมวิ่งตามช่วยไขกุญแจให้ ปุณณ์มองหน้าผมงง ๆ เหมือนอยากถามอะไรบางอย่าง แต่คงเป็นเพราะผมส่ายหัวกลับ
มันเลยพาผมเข้าห้องพักบ้าง 206
เราสองคนเดินต๊อกแต๊กกันตามทางเดินที่ถูกตกแต่งมาอย่างเก๋
ผมเพิ่งสังเกตว่ารีสอร์ทแห่งนี้หรูมาก ราคาคงแพงระยับถ้ามากันเอง ปุณณ์ไขกุญแจลงในห้องหนึ่ง
ที่พนักงานบอกพวกเราว่ามันคือห้อง Studio Piers ฟังจากชื่อผมก็งง
ๆ ว่าเกี่ยวอะไรกับท่านํ้า แต่พอเปิดเข้าไปดูก็ร้องอ๋ออออ เพราะหลังห้องที่พวกเราพักต่อเติมเป็นคล้าย
ๆ โป๊ะออกไปสู่สระนํ้าได้ (เรียกว่ามีสระนํ้าผ่านหลังห้อง)
ผมเห็นแล้วตาวาวทันที เดาว่าป่านนี้สาว ๆ คงกรี๊ดกร๊าดกันอยู่ ผมรีบโยนกระเป๋าลงเตียงพลางเดินวนสำรวจรอบห้อง
พบว่าภายในถูกตกแต่งให้น่าอยู่มากครับ ห้องนี้มีทีวี LCD เข้าผนัง
เตียงนอนคิงไซส์ อ่างอาบนํ้ากึ่งสปา ไม่ใช่ว่าจะธรรมดานะเนี่ยยย คงเพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจไปหน่อย
เลยไม่ทันสังเกตว่าไอ้ปุณณ์กําลังค่อย ๆ จัดของออกจากกระเป๋า "ไม่จัดของไงวะ?" มันส่งเสียงตะโกนถามผม
"จัดไม จะเอาไรค่อยหยิบ ไม่กี่วันก็กลับ" แต่อย่าลืมว่าสันดานคนมันต่างกัน... ปุณณ์หัวเราะร่วนกับความไร้ระเบียบในชีวิตผม
ขณะที่มันค่อย ๆ แขวนเสื้อเก็บ พร้อมกับได้ยินเสียงสาว ๆ กรี๊ดกร๊าดแว่วดังมาจากกําแพงอีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกัน
"พวกผู้หญิงคงอารมณ์ดีแล้ว.." ปุณณ์พูดพลางยิ้ม
จนผมต้องยิ้มกลับ เรานั่งรอเวลาไม่นานนัก พอเห็นว่าแดดร่มก็เริ่มตั้งท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปชวนพวกผู้หญิงเล่นนํ้ากัน
แต่ขณะที่ผมกําลังใส่รองเท้าแตะอยู่หน้าห้องนั้นเอง ก็บังเกิดความคิดอยากถามจะอะไรปุณณ์ขึ้นมาข้อหนึ่ง
"มึง........" ผมเกริ่นนำให้มันละสายตาจากเชือกกางเกงที่กําลังง่วนผูกอยู่
เงยขึ้นมามองหน้าผม "อะไร?" "ทำไมไม่นอนกับเอม?" ขอเช็คหน่อยแล้วกันว่ามันคิดอะไร
หลังจบคำนั้น ปุณณ์ไม่มีท่าทีอึกอักใด ๆ ระหว่างตอบผมกลับมา "ไม่ใช่เรื่องดีหรอก แค่ที่ผ่านมาก็เลว207
พอแล้ว" มันว่าพลางหยิบผ้าเช็ดตัวให้ทั้งผมและมันเอง... ได้ฟังคำตอบแบบนี้ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะ
ผมตบบ่าปุณณ์พร้อมรอยยิ้มกว้าง "ตอนนี้มึงเป็นคนดีแล้วแหละ
กูว่า" เพราะก่อนหน้านั้นผมคิดในใจว่า.. ถ้าปุณณ์ตอบว่าอยากนอนกับผม ผมจะต่อยให้ควํ่าแล้วโบกรถกลับกรุงเทพฯทันที
*** เราออกจากห้อง เดินไปชวนพวกผู้หญิงเล่นนํ้า ซึ่งดูเหมือนเธอจะรออยู่แล้ว
ผมยอมรับว่าตัวเองกลืนนํ้าลายลำบากเมื่อเห็นสองสาวในชุดบิกินี่สีหวาน.... อืมมมม เป็นวัยรุ่นนี่ดีจริง ๆ หึหึ แต่ท่าทางไอ้ปุณณ์จะรู้ทันผมหวะ เพราะมันกระทืบเท้าผมปัง!
โคตรพ่อเจ็บ! กูจะมองแฟนมึงมั่งไม่ได้เลยใช่มั้ย!!!
"เอานี่ไปเล่นด้วย ๆๆ" ยูริส่งเสียงเริงร่าพลางหอบเอาลูกบอลชายหาดกับตุ๊กตายางรูปปลาโลมาตัวใหญ่ออกมา
ผมอาสาช่วยยูริถืออย่างไม่รอช้าซึ่งเธอก็ปล่อยให้ผมทำอย่างนั้น แต่ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่ายูริไม่มองหน้าผมเลย..
เราสี่คนเดินกึ่งวิ่งไปยังชายหาดบริเวณหน้ารีสอร์ท ที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากครับ
ส่วนมากมักเป็นฝรั่ง (อืมมมม ผมชอบ หึหึ) กะเหรี่ยงอย่างเรา ๆ พอเห็นทะเลก็วิ่งร่าลงนํ้ากันโครม ๆ ยกเว้นเอมไว้คนนึงที่อิดออดอยู่นานกว่าจะยอมลงมาได้
"มาซี่เอม!!!!!! ชวนมาเองน๊า!!!!!"
เสียงยูริตะโกนเรียกเพื่อนตัวเองจากไกล ๆ เพราะเธอบุกนํ้าจนเปียกไปครึ่งตัวแล้ว
ผมกับปุณณ์เองก็ยืนรออยู่ในนํ้าเช่นกันครับ 208
"เฮ้ยไม่เอา... ว่ายนํ้าไม่เป็น" เอมอุบอิบพูดจนพวกเราหัวเราะก๊าก
นี่จบอนุบาลจากโรงเรียนไหนมาเนี่ยยเอม! พวกผมหัวเราะขำขณะที่ได้ยินเสียงปุณณ์เองก็หัวเราะเหมือนกัน
"อะไรเนี่ยยย นํ้ามันไม่ลึกซักหน่อย ใครเขาว่ายกันล่ะ! จะนั่งดูอยู่ตรงนั้นรึไง!?" แต่ยูริยังไม่เลิกล้มความพยายามที่จะชักชวนเพื่อนตัวเองให้ลงทะเลอยู่
ผมมองเห็นเอมพยักหน้าหงึกหงักจากบนชายหาด ยูริสะบัดตัวไปมาเหมือนเด็ก ๆ เธอเอื้อมมือไปเกาะแขนไอ้ปุณณ์แจ
"ปุณณ์จัดการให้หน่อยน๊า ๆๆๆ" "ยังไงดีล่ะ..." หมอนั่นขำกับท่าทางของยูริที่เข้ามาเกาะแขนแน่น
ยูริยังคงส่งเสียงออดอ้อนอยู่ "ยังไงก็ได้นะ.. น๊าาาาาาาาาาา" หึหึ.. เจอแบบนี้ใครจะปฏิเสธไหวล่ะครับ
(ผมเองยังไม่รอดเลย) ปุณณ์ก็ปุณณ์เหอะ..
หึหึ.. ในที่สุด ยอดชายนายปุณณ์ก็เป็นอันพ่ายแพ้ต่อนางสาวยูริ
ต้องยอมเดินขึ้นไปหาเอมให้แต่โดยดี พวกผมยืนมองสองคนนั้นคุยอะไรกันบนฝั่งอยู่ครู่หนึ่ง
ท่าทางเหมือนกําลังอยู่ในช่วงตกลงอะไรซักอย่าง (เฮ้ย..
เล่นทะเล ไม่ใช่เล่นหุ้น ไม่ต้องเจรจานานขนาดนั้น) ก่อนที่ปุณณ์จะพยักหน้ายิ้ม ๆ แล้วช้อนตัวเอมไว้ในสองแขนวิ่งเข้ามา
"มาแล้ว ๆๆ เจ้าหญิงมาแล้ววว" มันตะโกนว่าอย่างนั้นก่อนจะโยนแฟนตัวเองลงทะเลซะเนื้อตัวเปียกปอนไปหมด
แน่นอนว่ายูริกับผมขำกลิ้ง ก่อนที่เอมจะแหวกนํ้าขึ้นมาตะโกนลั่น "ปุณณ์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ไม่ได้ตกลงว่าจะลงอย่างนี้นี่!!!!!!"
หญิงสาวประท้วงพลางทุบอกปุณณ์เป็นการใหญ่ ผมเห็นเจ้านั่นหัวเราะร่าจนตาหยี
"ก็เอมไม่ได้บอกว่าอยากลงแบบไหนนี่ครับ" หลังจากนั้นเราทั้งสี่คนก็เปียกไปตาม ๆ กันเมื่อไม่มีใครยอมหนาวอยู่ฝ่ายเดียว
ผมจำได้ว่าเอมกดปุณณ์ลงนํ้าเพื่อเป็นการทำโทษ แต่มันเสือกไม่ยอมโดนน็อคอยู่คนเดียว
แขนที่ผอม ๆ แต่อุดมด้วยแรงเยอะกว่าฉุดผมลงใต้นํ้าเป็นเพื่อน (สำลักโว๊ย) จนบังเกิดความอาฆาตพยาบาท การพยายามฆาตรกรรมกันหมกทะเลจึงเกิดขึ้น
209
พวกเราเล่นนํ้าเสียงดังอยู่นานสลับกับขึ้นไปตีลูกบอลเล่นบนบก
ไม่อยากจะบ่นว่าลิงชิงบอลนี่แม่งโคตรเหนื่อยชิบหายเพราะไม่ยอมมีใครเป็นลิงซักทีนอกจากผม... พวกนั้นโยนบอลข้ามหัวผมไปมาอย่างสนุกสนานดี
แต่นอกจากความสนุกตรงหน้าแล้ว สิ่งที่ผมสังเกตได้อย่างนึงก็คือ ยูริแทบจะไม่พูดคุยหรือมองหน้าผมเลย...
ทุกครั้งที่เราสบตากัน มักจะเป็นเธอที่หลบก่อนเสมอ จนผมเองเริ่มไม่แน่ใจว่าเรากําลังผิดใจกันเรื่องอะไร
ซึ่งผมก็พยายามทำตัวเองให้เป็นปกติที่สุด "หนาวป่าวครับ"
ลองชวนคุยหน่อยก็ได้มั้ง... (ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าทะเลาะกันเรื่องอะไรก็เถอะ)
ผมถามพลางลุยนํ้าเข้าไปหายูริที่ขี่โลมายักษ์ หลังจากเพิ่งเล่นลิงชิงบอลเสร็จ
คงเพราะลมเย็นจากทะเลเริ่มตีขึ้นมาแล้ว ทำให้ผมอดเป็นห่วงเธอหน่อย ๆ ไม่ได้
"ไม่... ค่ะ.." แต่ยูริกระท่อนกระแท่นตอบผมแค่นั้น ถือเป็นเรื่องแปลกมากเพราะปกติยูริพูดได้นํ้าไหลไฟดับจนผมแทบจะไหว้ให้หยุด..
แต่ตอนนี้ผมคงต้องไหว้ให้เธอพูดแทน ว่าตกลงแล้วเธอเป็นอะไรกันแน่
"เป็นไรรึเปล่า ทำไมเงียบ ๆ" "โอ๊ย!!" แต่ยังไม่ทันที่ผมกับยูริจะทันคุยกันรู้เรื่องดี
เสียงอุทานด้วยความเจ็บปวดของเอมก็ดังขึ้นก่อน.. ผมหันไปมองว่าไอ้คู่รักบนบกคู่นั้นเล่นอะไรกัน
แต่ก็เห็นเอมลงไปนั่งกองกับพื้นแล้ว ปุณณ์ก้มพลิกดูข้อเท้าแฟนตัวเองไปมาก่อนจะทำสัญลักษณ์มือบอกผมว่าเอมข้อเท้าพลิก
ผมพยักหน้ารับทราบพลางมองมันที่แบกเอมขึ้นหลังกลับรีสอร์ทไป 210
ยูริมองตามแผ่นหลังของปุณณ์ที่แบกเอมไว้อยู่ครู่หนึ่ง
แล้วสะสายตากลับมาตีขาเล่นบนโลมายักษ์เหมือนเดิม.. ยิ่งผมเห็นท่าทางลอยหน้าลอยตาแบบนั้น
ก็ยิ่งทำให้นึกเคืองขึ้นมาตะหงิด ๆ "ยูริครับ...
มาเที่ยวกันอย่างอนเป็นเด็กอย่างงี้สิ" เสียงผมที่เอ็ดไปคงจะฟังดูเย็นชามาก
สาวเจ้าเลยหันกลับมาจ้องหน้าผมกลับนัยน์ตาเขม็ง "ยูไม่ใช่เด็ก!"
เธอแหวผมเสียงดัง ดวงตาโตนั้นวาวโรจน์จ้องมาทางผมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
อันที่จริงแล้วต้องพูดว่า ผมไม่เคยเห็นยูริงอนเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้เลยด้วยซํ้า แต่วันนี้ยูริงอนจนเหมือนกับเธอกําลังโกรธอะไรผมอยู่นั่นแหละ
ผมขมวดคิ้วมองหญิงสาวตรงหน้าที่เริ่มปีนลงจากโลมายักษ์มาแช่ในนํ้าทะเลตรงหน้าผมอย่างสงสัย...
นัยน์ตากลมโตนั้นมีประกายราวกับทั้งโกรธและท้าทายผมบางอย่าง
"โน่เป็นผู้ชายจริงรึเปล่า" ริมฝีปากบางของยูริขยับถามอย่างนั้น
ก่อนจะคว้ามือผมไปจับลงบนหน้าอกเธอ ผ่านเนื้อผ้าบิกินี่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น