วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

LOVE SICK :: ชุลมุนกางเกงน้าเงิน EP.15



ผมกลับมาถึงบ้านด้วยสมองอันว่างเปล่าพิกล.... จากเมื่อตอนกลางวันที่สุมคิดโน่นนี่เต็มหัวไปหมด จนพอถึงเวลานี้.... ราวกับทุกเรื่องที่กวนใจอยู่จะสามัคคีกันรวมตัวกลายร่างเป็นก้อนกลมสีขาว ลอยล่องไปมาในหัวผมแทนภายในพริบตา นี่คืออาการคิดมากขั้นสุดท้ายของผมแล้วสินะ... มีหวังปล่อยไปแบบนี้เรื่อย ๆ ต้องเป็นบ้าไปก่อนแน่ ผมคิดพลางกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงนอน แล้วคลานหยิบเกมแผ่นใหม่หวังจะเล่นแก้เซ็ง แต่ดันไม่มีอารมณ์เล่นซะนี่ "ไอ้เชี่ยปุณณ์...." ผมสบถด่ามันทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ตรงหน้า เออ สะใจไปอีกแบบเหมือนกัน ผมเพิ่งรู้ว่าทำแบบนี้แล้วรู้สึกดีเป็นบ้า 91
"ไอ้เชี่ยปุณณ์ ไอ้เลว ไอ้เพี้ยน ไอ้วิปริต ไอ้เจ้าชู้ แม่งเอาไม่เลือก ไอ้ ๆๆๆๆ....." จะด่าอะไรต่ออีกดีวะ! ผมคิดอย่างหงุดหงิดใจพลางเตะหมอนข้างที่กองอยู่บนพื้น ให้ลอยสู่อีกฟากห้องไปด้วย "แม่งงงงเอ๊ย...." ไม่รู้จะด่าอะไรแล้วก็ได้แต่บ่นพลางเดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่น ก่อนที่ผมจะตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง 'ตึง ๆๆๆ' "อ้าวโน่!! จะไปไหน!! ลงบันไดเบา ๆ หน่อย!!" "บ้านเพื่อนฮะ! เดี๋ยวมา!" ผมตอบม๊าแค่นั้นก่อนจะบึ่งมอเตอร์ไซค์คันเก่งออกนอกรั้วบ้านทันที *** มาอีกแล้วจนได้ ไอ้บ้านหลังใหญ่เนี่ย.. ผมปลดเกียร์หยุดมอเตอร์ไซค์ลงหน้าบ้านภูมิพัฒน์พลางมองขึ้นไปชั้นสอง เห็นแสงไฟห้องไอ้ปุณณ์สว่างโร่อยู่ เป็นเครื่องหมายว่ามันกลับมาแล้ว ว่าแต่ที่ผมถ่อมาถึงนี่ ผมอยากจะพูดอะไร คุยอะไร เคลียร์อะไรกับมัน?...... บอกตามตรงว่าผมไม่รู้จริง ๆ รู้แต่เราสองคนจำเป็นต้องคุยอะไรกันบางอย่าง.... ในที่สุดถนนหน้าบ้านภูมิพัฒน์ก็กลายเป็นลู่ออกกําลังกายให้ผมเดินวนไปมาจนมึนหัวซะแล้วเพราะไม่รู้จะเข้าไปดีหรือไม่ดี กระทั่งมีรถคันโตขับมาจ่อหน้ารั้วบ้านนั่นแหละ จึงได้ยินเสียงเรียกชื่อผมจากกระจกเบาะหลังที่ถูกเลื่อนลง "พี่โน่???" 92
น้องแป้ง!? "พี่โน่มาหาพี่ปุณณ์เหรอคะ?" งามหน้าไหมวะเนี่ย... ผมรู้สึกเหมือนกลายเป็นไอ้เกย์ติดแฟนไปซะฉิบ ถ่อมาหาได้ทุกวัน ๆๆ แต่ดูท่าทางน้องแป้งจะชอบแหะ -_-"..... "เข้าไปสิคะ" เห็นไหมล่ะ.... ผมยิ้มแหย ๆ ให้น้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของปุณณ์เมื่อเธอกดรีโมทเปิดประตูใหญ่ อนุญาตให้ผมเอามอเตอร์ไซค์บุโรทั่งเข้าไปจอดในโรงรถได้ พร้อม ๆ กับรถยุโรปคันงามและคนขับของเธอ "น้องแป้งกลับบ้านดึกจังครับ" ผมเกริ่นทักทายเล็กน้อยพอเป็นพิธีเมื่อเห็นเด็กสาวก้าวลงจากรถทั้งชุดนักเรียน ขณะที่ผมเองก็ใส่ชุดนักเรียนอยู่เหมือนกัน... แต่รองเท้าเนี่ย กลายร่างเป็นรองเท้าแตะไปเรียบร้อยแล้ว "แป้งเรียนพิเศษค่ะ พี่ปุณณ์กลับมาแล้วนี่คะ พี่โน่ขึ้นไปสิ" เธอตอบผมหลังจากที่เงยหน้ามองแสงไฟในห้องปุณณ์เรียบร้อยแล้ว "พี่โน่ทะเลาะกับพี่ปุณณ์เหรอคะ...?" เฮ้ย คำถามรอบแจ็คพ็อต!! ทำไมเซ้นส์ดีงี้ล่ะหนู!! เสียงใส ๆ นั่นทำเอาผมสะอึกอุกพร้อมลืมก้าวขาไปก้าวหนึ่งได้ง่าย ๆ กูจะตอบยังไงดีวะเนี่ย...... "เอ่อ... เปล่าหรอกครับ... ที่จริง.. พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน.... แหะ ๆ" ฟังดูเป็นคำตอบรึเปล่า -_-" "ทำไมน้องแป้งคิดงั้นล่ะครับ?" 93
"ก็ตั้งแต่กลับจากบ้านพี่โน่เมื่อวันเสาร์... พี่ปุณณ์ก็ซึมไป ข้าวปลาไม่ค่อยจะกิน...... พี่โน่อย่าโกรธพี่ปุณณ์เลยนะคะ พี่ปุณณ์อาจจะงี่เง่า ขี้งอนไปบ้าง แต่พี่ปุณณ์ก็รักพี่โน่นะ" (เผาพี่ชายเชียวนะ) แต่ใครโกรธใครกันแน่ครับแป้ง... แล้วไอ้ปุณณ์เนี่ยนะรักผม!? ใบหน้าของผมคงแปะป้ายคำว่า 'สงสัย' จนน้องแป้งพูดต่อได้โดยไม่ต้องออกแรงถาม "ตั้งแต่มีพี่โน่ พี่ปุณณ์ก็หัวเราะดังขึ้นกว่าก่อนตั้งเยอะ... แป้งเห็นสาว ๆ กรี๊ดพี่ปุณณ์เยอะก็จริง แต่ไม่เคยเห็นพี่ปุณณ์พาใครมาให้แป้งเจอที่บ้านอย่างนี้มาก่อน.... พี่ปุณณ์รักพี่โน่จริง ๆ นะคะ.. แป้งดูออก" ผมคลี่ยิ้มหงอย ๆ รับคำนั้นของน้องแป้ง... เพราะรู้ดีว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องโกหก.. ปุณณ์ไม่เคยรักคนอย่างพี่หรอกครับแป้ง.. *** หลังจากแยกกับน้องแป้งแล้ว ผมขึ้นมายืนลังเลหน้าประตูไม้เนื้อดีตรงนี้อยู่ครู่หนึ่ง ด้วยความสับสนว่าควรใช้หลังมือเคาะแบบหนังสือสอนสมบัติผู้ดีเขาทำกัน หรือถีบประตูแม่ง แล้วบุกด่าเจ้าของห้องมันแบบใจผมคิด (อยากทำอย่างหลังมากกว่า) แน่นอนว่าถึงจะเตรียมไว้หลายวิธีแต่ทำได้จริงเพียงวิธีเดียว ผมตัดสินใจเคาะประตูห้องนั้นลงไป แต่อย่าหวังจะแอบมองผ่านตาแมวได้ เพราะผมหลบพ้นรัศมีเป็นแน่แท้ นี่ไม่ได้ตั้งใจจะเซอร์ไพร์สหรอกนะ เพราะขืนปล่อยให้มันเห็นว่าคนยืนอยู่หน้าประตูเป็นใคร เจ้าของห้องอาจจะพาลไม่เปิดให้ผมเอาน่ะสิ 94
แน่นอนว่าวินาทีแรกที่ประตูแง้มเปิด ผมแทรกพรวดเข้าไปด้านในทันที "โน่!?" เออ ตกใจแบบนั้นแหละดี! "ไม่ต้องทำตัวเป็นนินจาขนาดนั้นก็ได้.... มีอะไรรึเปล่า" ได้ยินคำพูดนั้นของปุณณ์แล้วก็พาลรู้สึกหงุดหงิดชะมัด มันเพราะใครล่ะวะที่เพียรหลบหน้าผมทั้งวัน จนต้องแปลงร่างเป็นนินจาโผล่มาแบบนี้... ผมคิดพลางขมวดคิ้วมองปุณณ์ซึ่งยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เหมือนกัน... คงเพิ่งมาถึงสินะ "กินข้าวรึยัง" เสียงปุณณ์ถามผมพลางเดินหลบไปทางตู้เย็นเล็ก คุ้ยหาโค้กกระป๋องส่งมาให้ "อ๋อ... แต่ไปกินกับยูริมาแล้วนี่นะ ลืมไป" "มึงก็ไปกินกับเอมมาแล้วนี่... มีเบียร์ปะ อันนี่ไม่เอา" มันมองหน้าผมอย่างงง ๆ นิดหน่อย แต่ก็โยนสิ่งที่ผมต้องการมาให้แต่โดยดี ผมรับเบียร์กระป๋องนั้นไว้ก่อนล้มตัวลงนั่งกึ่งนอนบนโซฟา ตามด้วยตัวปุณณ์ที่แหมะลงข้าง ๆ ผม พร้อมด้วยเบียร์ 1 กระป๋องในมือเช่นกัน เราทั้งคู่ต่างเงียบดูการ์ตูนเนทเวิร์คที่ปุณณ์เปิดทิ้งไว้โดยไม่มีใครพูดอะไรสักคำ.. ผมรู้สึกได้ว่าไอ้ปุณณ์เหม่อมากกว่าดูทีวี เช่นเดียวกันกับผม ที่ไม่มีสมาธิจะดูทอมแอนด์เจอร์รี่ตรงหน้าเลยสักนิด "เฮ้อ...." ผมถอนหายใจเสียงยาวพลางเงยคอพิงพนักโซฟา "เป็นไร?" ปุณณ์เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง "มึงดูอะไรโคตรปัญญาอ่อน" 95
"อ้าว อะนี่... เอารีโมทไป อยากดูไรกดเอง" มันว่าพลางวางรีโมทบนตักผม.. ซึ่งจริง ๆ แล้วผมไม่ได้ตั้งใจมาดูทีวี แต่จะให้เริ่มพูดอะไรตอนนี้คงทำไม่ไหวเหมือนกัน.... นิ้วมือผมกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ค้างไว้ที่ช่อง 55 นานนิดหน่อย "ว่าแต่ผม โน่ดูหมีพูห์เนี่ยนะ" "เออน่า.. อยากเป็นทิกเกอร์" "เสือ?" "ใช่เสือ.. เท่ห์ปะ" "แต่ทิกเกอร์มันเสือปัญญาอ่อน" ปุณณ์ค้านผม ทำเอาคิ้วขมวดยุ่ง "ช่างเหอะน่า..." เป็นอันว่าจบบทสนทนาว่าใครปัญญาอ่อนปัญญาดี... ผมมองภาพในจอที่จู่ ๆ ทิกเกอร์กระโดดลงคลองเพื่อเล่นเกมกับหมีพูห์แล้วพาลคิดถึงเรื่องตอนกลางวันอย่างช่วยไม่ได้ "มึงก็ทำกูเปียก วันนี้..." ท่าทางคำบ่นของผมจะเรียกรอยยิ้มจากปุณณ์ได้ เพราะมันแค่นหัวเราะสองสามทีก่อนจะมองหน้าผม "ใครใช้ให้โน่ไปนอนอยู่ตรงนั้นล่ะ" "ไม่มีใครใช้แต่........ เพราะมึง.." ผมตอบทั้งที่ตายังมองทีวีอยู่แต่ไม่เหลือสมาธิจดจ่ออะไรแล้ว ฤทธิ์แอลกอฮอล์กําลังเล่นงานให้คำพูดต่าง ๆ พรั่งพรูออกมาง่ายยิ่งขึ้น "เพราะมึงแหละ.." ผมยํ้าให้มันได้ยินอีกที "ผมทำไม..." "มึงเมินกูทั้งวัน... กูเซ็งมาก เลยโดดเรียนไปนอนแก้เซ็งหลังตึก...... นี่มึงเลิกพูดเพราะ ๆ กับกูได้ไม๊!? มึง96
เป็นอะไรเนี่ย" ผมรู้สึกว่าการที่มันพูดจาเพราะ ๆ กับผมเหมือนกับมันปิดบังอะไรซักอย่าง ซึ่งผมอารมณ์เสียมากจนต้องตะคอกแล้วกดปิดทีวีลง "............................" ช่วงเวลาพักใหญ่ที่เราทั้งคู่ต่างเงียบไป....... เหลือเพียงเสียงเบียร์เท่านั้นที่หลั่งไหลลงลำคอไม่หยุดหย่อน... จนผมคิดว่าจะมอมตัวเองแล้วเมาหลับไปทั้งอย่างนี้เลยดีไหม "กู....... มึงรู้รึเปล่าว่ากูเคยรักเอมมากขนาดไหน..." อยู่ดี ๆ ปุณณ์ก็พูดคำนี้ออกมา ผมรู้สึกราวกับมีมีดพันเล่มปักกลางหัวใจดังฉึก "จะไปรู้ด้วยได้ไง.. เรื่องของพวกมึง" "ไม่ว่าเอมจะทำอะไร... กูเคยให้อภัยเขาทุกอย่าง...... เขาจะงอแง เอาแต่ใจ บังคับให้กูฝืนใจทำอะไรขนาดไหน กูก็คิดว่ากูยอมเขาได้ทุกอย่าง..." "........................." "จนกระทั่งวันพุธ ที่มึงมาขอความช่วยเหลือจากกู....... จนวันนี้......." "........................." ".... มันแปลกไปหมด" ผมทนฟังมันพูดจาวกวนไม่ได้แล้วจริง ๆ "หมายความว่าไงของมึงวะ 'แปลก' กูตกวิชาภาษาไทย" ผมจ้องใบหน้าด้านข้างของปุณณ์ที่สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนครั้งหนึ่ง แล้วพ่นคำพูดทั้งหมดออกมาโดยไม่ยอมมองหน้าผม 97
"โน่.... มึงปล่อยกูไว้อย่างนี้ซักพักเถอะ.. กูทนตัวเองไม่ไหวแล้วที่กูอยากเจอแต่มึง กูแม่งหน้าไม่อายที่จะจูบมึง ทั้ง ๆ ที่กูไม่รู้เลยด้วยซํ้าว่าความรู้สึกพวกนี้มันเกิดได้ยังไงแล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กูรู้ตัวอีกทีกูก็คิดไปแล้วว่ากูอยากให้คนอยู่ข้าง ๆ กูเป็นมึง.. ทุกครั้งที่มึงมาช่วยกู มาดูแลกู กูคิดเสมอว่าอยากให้เป็นกู ที่เป็นฝ่ายดูแลมึง.. กูมันเชี่ยที่บริสุทธิ์ใจกับมึงไม่ได้ แม้กระทั่งทุกครั้งที่เราอยู่ใกล้กัน กูยังต้องห้ามใจอย่างหนัก ไม่ให้ตัวเองสัมผัสมึง... ซึ่งมึงรู้ไหมว่ายิ่งนานไปมันก็ยิ่งยากขึ้นทุกที.... เราห่างกันซักพักเถอะ กูแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่แล้วตอนนี้" คำพูดยืดยาวของปุณณ์ถูกพ่นออกมาราวกับทนเก็บไว้มานานจนผมได้แต่นั่งนิ่ง... ทุกคำที่ไหลผ่านเข้าหูซ้ายไม่ยอมทะลุทางหูขวาออกไปไหนและผมยอมรับว่าทั้งหมดเหนือความคาดหมายตอนแรกไปมาก ดวงตาที่ปิดสนิทจนแน่นของปุณณ์ เป็นเครื่องมือยืนยันว่าเจ้าตัวกําลังขบคิดทุกเรื่องอย่างหนัก... รวมไปถึงฝ่ามือชื้นเหงื่อที่ปุณณ์ใช้กําตัวเองจนแน่นนั้นอีก ขณะที่สมองผมปลอดโล่งโปร่งไปหมด... ราวกับมีใครบางคนยกภูเขาให้ออกจากอก มันอธิบายได้ยากว่าผมกําลังรู้สึกยังไง แต่ผมยังมีเรื่องที่อยากถามให้แน่ใจ.. "ทำไมมึงต้องห้ามตัวเอง... ไม่ให้สัมผัสกู...." ปุณณ์ส่ายหน้ากับตัวเองทั้งที่ยังหลับตาแน่น "เพราะสิ่งที่มึงหยิบยื่นให้กูมาคือความเป็นเพื่อนที่มีค่ามากกว่ากูจะทรยศมัน.. เพราะมึงเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เหมือนกันกับที่กูเป็น.. เพราะมึงมียูริข้าง ๆ เหมือนกับที่กูมีเอม... เพราะสิ่งที่กูคิดมันอาจจะทำให้มึงเกลียดกูจนไม่อยากเป็นเพื่อนกูต่ออีกเลยก็ได้.. มึงเข้าใจไหมว่าเหตุผลทุกอย่างบอกว่ากูจะเป็นแบบนี้ไม่ได้.. กูกําลังจะทำผิดต่อทุกอย่าง แล้วกู..... กู..... กูทำอะไรไม่ถูกแล้ว..." นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคนเก่งอย่างปุณณ์จนตรอก.... เสียงมันสั่นก่อนจะเค้นคำพูดออกมาอีกครั้ง "กู........ ไม่อยากให้ทุกอย่าง.. ผิดไปยิ่งกว่านี้อีกแล้ว..." คำพูดนั้นทำให้ผมสลดลงอย่างช่วยไม่ได้.. ในเมื่อ98
ใบหน้าสิ้นหวังของปุณณ์แจ้งชัดว่าเจ้าของมันกําลังอ่อนแอเพียงใด... ยํ้าเตือนผมว่าผู้ชายคนนี้ที่เห็นไม่ใช่ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ของใครต่อใคร ไม่ใช่แม้แต่เลขาฯสภานักเรียนผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ชายตรงหน้าผม... เป็นแค่ปุณณ์... ไอ้ปุณณ์........ เด็กผู้ชายธรรมดาที่อยู่ในช่วงจัดการความรู้สึกของตัวเอง.. แม้ทำท่าเหมือนจะไปไม่รอด ใบหน้าด้านซ้ายที่บิดเบี้ยวนั้นทำให้ผมต้องเผลอหลงมองปุณณ์อย่างหลงไหล... จนไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร สั่งให้ผมหยิบมือข้างนั้นมากุม ด้วยหวังว่า ความเข้มแข็งจะถูกส่งผ่านไป.. "ถ้าเราตัดเหตุผลทั้งหมดทิ้ง.... ถ้าไม่ต้องคิดว่าเราเป็นอะไร หรือความถูกต้องที่สมควรทำคือสิ่งไหน..." ผมพยายามค้นหาความจริงจากดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยคำถามของความไม่เข้าใจ "... สิ่งที่มึงอยากทำคืออะไร.." ปุณณ์มองหน้าผมที่สบตาเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวาดแขนข้างหนึ่งคร่อมตัวผมไว้ พร้อมมอบใบหน้าคมคายให้คล้อยใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ....... ทั้งหมดนี้เรียกความรู้สึกของวันก่อนที่ผมเคยมี ให้กลับมาอีกครั้ง ริมฝีปากหยุ่นสีอมส้มประชิดติดริมฝีปากของผม ก่อนจะกระซิบถ้อยคำหนึ่งแผ่วเบา.. ".. ผมอยากมีโน่.." หากเราปล่อยให้ช่วงเวลานี้ผ่านไป.. โดยไม่ต้องคำนึงถึงอนาคตที่จะตามมาเลย ได้ไหมนะ…. 99

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น