วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

LOVE SICK :: ชุลมุนกางเกงน้าเงิน EP.22



ตอนเช้าที่ใกล้วันจริงเข้าไปทุกที.. ผมเดินมองรองเท้าตัวเองพลางวนไปวนมาหน้าห้องสภานักเรียน ด้วยความลังเลว่าจะเปิดประตูเข้าไปเลยดีไหม หรือทำแบบนั้นจะดูแปลก ๆ ไปหว่าา..... เอาแต่คิดแล้วก็วนนนนนอยู่อย่างนั้นจนชักมึน ขืนให้วนต่ออีกรอบคงไม่ไหว มีหวังได้ฝากของขวัญไว้บนพื้นตึกอำนวยการแหง๋... ว่าแต่ เออ.. แล้วจะมาเดินวนหาอะไรวะ? ผมคิดด่าตัวเองอยู่แป๊บหนึ่งก่อนตัดสินใจควักมือถือขึ้นมามองหน้าจอนิ่ง.... อืม... มีเรื่องต้องคุยกับปุณณ์นิดหน่อย เกี่ยวกับงบประมาณชมรมดนตรีที่เคยตกลงไว้ เพราะไม่อย่างนั้นแย่แน่.... เอาไงดี.. หรือจะเปลี่ยนเป็นโทรไปหามันแทน.... แต่ว่า......... จริง ๆ แล้วก็แอบอยากเจอ.. เฮ้ย!! คิดอะไรวะ! ไร้สาระว่ะ!! ผมเขกกะบาลตัวเองแรง ๆ ที่บังอาจคิดเรื่องผิดผีกับแฟนชาวบ้าน ก่อน148
ตัดสินใจจิ้มเบอร์ปุณณ์ที่หน้าจอแล้วกดปุ่มโทรออกทันที 'ได้แค่เพื่อนก็ดีเท่าไหร่ แม้จะได้แค่เพียงใกล้กัน ใครคนนั้นคงไม่ว่า.. ช่วยไม่ได้ถ้ารักเขาก่อน ฉันต้องซ่อนอาการมากมาย ไม่ให้เธอรับรู้ได้จากสายตา...' อื้อหือ............ caller ring เพลงเชี่ยอะไรของมันเนี่ยย ทำเอาผมต้องรีบผลักโทรศัพท์ออกจากหูตอนได้ยินเสียงเนื้อร้องเพลงทันที (ของใครวะ ไม่เคยฟัง) แต่คิดสงสัยได้ไม่นานเพลงนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงทุ้มของปุณณ์อย่างรวดเร็ว "ครับโน่?" มึงอย่าทำมาเป็นพูดเพราะได้ปะ กูจั๊กจี้! "อยู่ไหนวะ.. มึง" "ห้องสภาฯ โน่อยู่ไหน ให้ไปหารึเปล่า?" เสนอตัวจริง ๆ.. ผมหัวเราะหึหึใส่มือถือพลางแหงนหน้าเงยมองป้ายห้องสภาฯที่แขวนตระหง่านอยู่บนหัว "อีกครึ่งวิเจอกัน" แล้วก็แค่ครึ่งวินาทีจริง ๆ เพราะผมกดทิ้งสายปุณณ์พร้อมผลักประตูห้องสภาฯเข้าไปเลย ทำเอาหน้ามันเหวอโคตร (ในมือยังถือโทรศัพท์ค้างอยู่เลยครับ หึหึ) แต่ห้องนั้นดันไม่ได้มีมันอยู่แค่คนเดียวว่ะ ผมคงลืมไปว่านี่ไม่ใช่ห้องส่วนตัว เพราะในนั้นยังมีฟี่ (ประธานนักเรียน) แบงค์ (ตำแหน่งไรไม่รู้) กับรุ่นน้องม.4 อีก 2 คน แล้วก็..... ไอ้เอิ้น ประธานเชียร์ เงยหน้ามองผมกันสลอน "อ้าวโน่! มาทำไร!" เจ้าของเสียงที่ร้องทักผมก่อนใครคือเอิ้น ขณะที่ปุณณ์เพียงแค่ยิ้มให้นิ่ง ๆ พลางเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงมันก่อนจะพูด "ทำไมไม่เข้ามาแต่แรกล่ะ" เหอ ๆๆ ได้ยินปุณณ์พูดแบบนี้เอิ้นคงรู้แล้วมั้งว่าผมมาหาใคร แน่นอนว่าผมยักไหล่กวน ๆ ให้ปุณณ์กลับ พลางหันไปยิ้มให้เอิ้นที่กําลังนับของกองโตอยู่ เรื่องของเรื่องคือต่อมเสือกเริ่มตอกบัตรทำงานนั่นเอง "อะไรอะเอิ้น! ถุงใหญ่โคตรร" 149
"ของที่ระลึกน้องขึ้นแสตนน่ะ" มันตอบกลับพร้อมลักยิ้ม พลางหยิบของที่ว่ามาโชว์ ของที่ระลึกปีนี้เป็นป้ายเหล็กสีเงินสลักชื่อโรงเรียน ส่วนด้านหลังสลักคำว่า ALL IS ONE ครับ! สวยชิบหาย! "แม่งเท่ห์โคตรรรรรรรรรรรรรร กูอยากได้ว่ะ ถ้าเหลือขอกูนะ ๆๆ" ทันทีที่ได้เห็น ผมรีบกระโดดใส่แท็คเหล็กพวกนั้นด้วยความอยากได้(เชี่ย ๆ) ทำเอาไอ้เอิ้นหัวเราะใหญ่ คงเพราะผมโดดเกาะแขนมันแจเหมือนลูกแมวไม่มีผิด ว่าแต่ไอ้ปุณณ์จะกระแอมกระไอเชี่ยไรของมันวะ สงสัยคงไม่สบายอีก "มึงน่ะไม่ต้องรอเหลือหรอกโน่..." อยู่ดี ๆ เอิ้นก็พูดคำนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าผมไม่ค่อยรู้สึกกระจ่างซักเท่าไหร่ ยิ่งพอเห็นเอิ้นทำท่ายุกยิกเหมือนจะหยิบของในถุง ผมก็ยอมปล่อยแขนมันแต่โดยดี "กูให้ตอนนี้เลย" แถมไอ้เอิ้นไม่พูดเปล่า เพราะมันหยิบแท็คเหล็กออกจากถุงมายื่นให้ผมด้วย! ทำเอาผมตาโตพอ ๆ กับตอนได้ยินว่ามันจะให้ยืมเงินนั่นแหละ แต่แน่นอนว่าถึงจะน่าดีใจแค่ไหน ไอ้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง "เฮ้ย! ไม่เอา!!" ผมรีบเบี่ยงตัวหลบประธานเชียร์ที่เอื้อมมือมาจะคล้องแท็คเหล็กใส่คอผม พร้อมกับคำโวยวายอีกยืดยาว "มึง!! มันเป็นของน้องแสตน ไว้เหลือก่อนแล้วค่อยให้คนอื่นสิวะ น่าเกลียดว่ะ" ซึ่งหมายความตามที่พูดเป๊ะ ๆ ครับ ผมได้ของที่ระลึกจากแสตนงานบอลแทบทุกปีก็จริง แต่ทุกครั้งเป็นของเหลือจากแสตนทั้งนั้น ไม่เคยมีใครเอามาแจกคนนอกก่อน เพราะจุดประสงค์ของของที่ระลึกก็เพื่อมอบเป็นค่าตอบแทนนํ้าใจน้อง ๆ ม.ต้นที่เสียสละเวลามาให้ความร่วมมือกับรุ่นพี่ ขึ้นแสตนกันทุกคน (โดนดุโดนด่าอีกต่างหาก) ไม่ได้มีไว้เพื่อให้รุ่นพี่เอามาแจกกันเองแบบนี้ แต่เอิ้นทำท่าไม่สนใจ มันยักไหล่ "เออน่า.. เหลืออยู่แล้วล่ะ... ให้โน่ไว้ก่อนไง จะได้ไม่ถูกคนอื่นแย่งไป" แถมทำท่าจะคล้องแท็คลงคอผมให้ได้อีก! แม่ง.... ไม่ว่าจะพยายามเอี้ยวตัวหลบไปทางไหน ก็หนีไม่พ้นตัว150
ควาย ๆ ของเอิ้นเลยสิน่าาาาา "เฮ้ย ไม่เอาาาาาาาาาาาาาาาา" "ไม่รู้แหละ... อะนี่ ถือว่าให้แล้ว ไม่รับคืน" มันปลํ้าใส่สร้อยคอให้ผมเสร็จจนได้แล้วยังยิ้มแปล้... ส่วนผมคลำแท็คที่คล้องอยู่บนคอตัวเองแบบมึน ๆ เพราะรู้สึกเหมือนโดนบังคับอีกแล้ว "เดี๋ยวกูมานะฟี่..." เฮ้ย!.. นั่นมันเสียงไอ้ปุณณ์นี่หว่า!! เกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองมาทำไม!!!!!! ผมหันควับมองหน้าปุณณ์ที่ไม่ยอมสบตาผม.. ไอ้ห่า... มันเดินตัวปลิวออกไปโน่นแล้ว หมดกัน ๆๆๆ "ฝากไว้ก่อนเหอะเอิ้น! เดี๋ยวกูมา!!" *** "ปุณณ์!!! ปุณณ์!!!! ปุณณ์!!!!!! ปุณณ์โว๊ย!!! สัด... กูเหนื่อยย" ขาก็ยาวเสือกจะก้าวฉับ ๆๆ ยังกะตามควายหาย ไม่สงสารคนวิ่งตามมึงอีกทีมั่งรึไง ยิ่งไม่ได้ออกกําลังกายอยู่ รู้บ้างมั้ยว่าโคตรเหนื่อย "นี่กูจะมาถามเรื่องเงินชมรมนะ!!!" วิ่งไม่ทันก็เอาเสียงเข้าสู้นี่ล่ะวะ! ผมคิดพลางตะโกนออกไปลั่นทางเดินที่ไม่ค่อยมีคนของตึกอำนวยการ ซึ่งก็ได้ผล.. ปุณณ์ชะงักฝีเท้ากึก เปิดโอกาสให้ผมวิ่งตามทัน ถึงแม้มันจะยังไม่ยอมหันมาก็เถอะ "เป็นไรวะ ท่าทางแปลก ๆ ไม่สบายปะ" เห็นดังนั้น เมื่อมาถึงผมจึงรีบใช้หลังมืออังต้นคอปุณณ์เพื่อวัดอุณหภูมิดูทันที (จริง ๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าแบบไหนร้อนแบบไหนเย็น แค่ทำพอเป็นพิธีไปงั้นแหละครับ) แต่สังเกตได้ว่าปุณณ์เบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะยอมหันกลับมามอง 151
"เรื่องเงินชมรมมีอะไรรึเปล่า.. กูกําลังช่วยอยู่ ขอโทษนะ" อืม... ตอนนี้หน้ามันดูรู้สึกผิดจนผมต้องตบบ่าปลอบ ช่างเถอะ แค่ได้ยินปุณณ์พูดแบบนี้ก็สบายใจแล้วล่ะ ผมรู้ยังไงมันก็เป็นคนที่ช่วยเหลือผมอยู่เสมอ ไม่มีทางทำให้เสียแรงที่ไว้ใจเด็ดขาด แต่วันนี้แค่แวะมาถามเพื่อยํ้าดูอีกที "มึงรีบมากรึเปล่า?" ปุณณ์ถามผมอีก ถึงตรงนี้รู้สึกอึกอักนิดหน่อย เหมือนปากจะขยับไม่ได้ดังใจคิด... ให้ตอบว่ายังไงดีวะ.. "ก็...... ตอนแรกก็รีบอะนะ เพราะเฮียปุ้ยมาส่งของเมื่อวาน แล้วจะเอาเงินภายในอาทิตย์นี้... แต่ตอนนี้ก็... ก็รีบอยู่ดีอะ แต่ไม่รีบเท่าไหร่แล้ว" คำที่ตอบออกไปฟังดูเบลอ ๆ ใช่ปะ? เออ.. ผมก็งงกับตัวเองเหมือนกัน "หมายความว่าไงอะ ตกลงต้องใช้อาทิตย์นี้รึเปล่า ถ้าอย่างนั้นเอาเงินกูไปก่อน" แหม..... คนรวยมันเยอะจริงโว๊ยโรงเรียนเรา!! "ไม่เป็นไร ๆ เมื่อวานกูเจอเอิ้นพอดี มันเลยช่วยโอนให้ก่อนแล้ว... เหลือแต่.... เอาตังค์ไปคืนนี่แหละ.. ติดแม่งนาน ๆ กูก็เกรงใจ.." ผมอธิบายเสียงอ่อย พร้อม ๆ กับสังเกตได้ว่าสีหน้าปุณณ์ยิ่งแปลกไป "มึง...... คุยเรื่องนี้กับเอิ้นเหรอ..?" "อืม.. เมื่อวานบังเอิญเจอตอนเย็น ๆ อะ" "แล้วก็คุยเรื่องเงินชมรมนี่น่ะเหรอ" "เออ.... ปรึกษานิดหน่อย" "ปรึกษา?" ถึงตรงนี้ผมเริ่มรำคาญที่มันถามยุกยิกแล้วว่ะครับ "มึงอะไรเนี่ย เค้นกูจังงง!!!" แน่นอนว่าผมโวยใส่มันตามระเบียบ แต่แค่อีกฝ่ายหันขวับมาจ้องหน้าผม ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเริ่มหด เหลือเล็กเท่าลูกเทนนิสเท่านั้น.... 152
ทำไมมันน่ากลัวจังว๊าาา T__T ผมสะดุ้งนิดหน่อยที่ถูกปุณณ์ปั้นหน้าดุใส่ ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวถอยหลัง เพราะคนตรงหน้ากําลังต้อนมาเรื่อย จนในที่สุด ผมก็รู้สึกได้ว่าด้านหลังเป็นกําแพว... โฮ.. ไม่มีที่หนีแล้วว่ะ จะฆ่ากูหมกตึกเรียนแล้วโบกปูนทับทำลายหลักฐานปะวะ! T__T เสียงแหบของปุณณ์ดังขึ้นเหมือนคนไม่อยากเปล่งเสียง "มึง.................." กู ?.. ทำไม.. ผมมองตอบมันที่จ้องตาผมนิ่งก่อนที่เจ้าของคำนั้นจะเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีเอง จนผมต้องแอบถอนหายใจโล่งที่เป็นอย่างนั้นซะได้ เพราะไม่เคยเห็นสายตาปุณณ์เป็นแบบนี้มาก่อน แอบคิดในใจว่าหรือปุณณ์จะใจเย็นลงบ้างแล้ว.. แต่ว่า... 'ปึง!!!' เชี่ยแม่ง! ทุบตึกเรียนทำไมวะ!!!!! ปูนร้าวขึ้นมาเดี๋ยวอธิการก็เรี่ยไรตังค์พวกกูอีก!!!!!!!!!!! ผมคิดเล่น ๆ ทั้งที่ไม่รู้สึกขำเลยสักนิด เพราะใบหน้าปุณณ์ที่ถึงจะมองเห็นไม่ถนัดแต่ก็จับพลังได้ว่ากําลังเดือดมากอยู่.. เสียงปุณณ์สูดลมหายใจลึกดังก่อนที่เจ้าตัวจะพูดอะไรบางอย่าง "มึงมีอะไร.. ทำไมไม่บอกกู.." ปุณณ์ถามทั้งที่ไม่มองหน้าผมซักแอะ... แน่นอนว่าผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ปุณณ์อยากจะสื่อ "อะไรวะปุณณ์?" "มึง........ ไม่เชื่อใจกูเลยสินะ.." นั่นเป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนปุณณ์จะลดมือที่คาอยู่บนกําแพงลง ผมมองหน้ามันไม่ถนัดว่ากําลังอยู่ในอารมณ์ไหน แต่ปุณณ์ก็เดินหลบผมไปไกลแล้ว.... 153
กูไม่เชื่อใจมึง?
วันนี้ทั้งวันผ่านไปแบบเหนื่อย ๆ เพราะถึงผมจะไม่ใช่โต้โผในการฝึกซ้อม marching band แต่หน้าที่เตรียมงานทั้งหมดให้วงก็ตกเป็นของผมแบบเต็ม ๆ อยู่ดี... ที่แน่ ๆ วันนี้นั่งซ่อมเครื่องดนตรีให้เกือบทั้งวงจนคิดว่าเรียนจบไปคงเปิดร้านซ่อมได้เองแน่ ๆ แล้ว ผมกลับถึงบ้านโดยมีนาฬิกาข้อมือบอกเวลาสี่ทุ่มกว่า หลังจากโยนกระเป๋าลงบนเตียงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องหงายตัวลงนอนพ่นลมหายใจออกมาพรู เรื่องของไอ้ปุณณ์เมื่อตอนกลางวันยังรบกวนความคิดไม่หาย.. คำที่อีกฝ่ายบอกว่าผมไม่เชื่อใจมัน.. ผมรู้ดีว่าปุณณ์กําลังหมายถึงเรื่องอะไร ผมยอมรับว่าตัวเองผิดโคตร ๆ ที่ไม่โทรบอกมันตั้งแต่ทีแรก ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าคนที่พร้อมช่วยเหลือผมมากที่สุดคือใคร.. ผมยอมรับว่าผมผิด ที่ทำร้ายจิตใจปุณณ์ด้วยการปล่อยให้คนอื่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แทนที่จะเป็นมัน... แต่จริง ๆ แล้วผมแค่รู้สึกเกรงใจ เพราะตัวเองรู้ดีว่าคนที่พยายามช่วยผมอย่างเต็มที่มากที่สุดก็คือปุณณ์.. ผมรู้ดีว่าหากเงินออกแล้วจริง ๆ คนที่จะวิ่งเอาเงินมาให้ผมด้วยความดีใจที่สุดก็ต้องเป็นปุณณ์.. มันคือความเชื่อใจที่ผมมีให้ปุณณ์เต็มร้อย จนไม่เคยคิดแม้แต่จะเร่งรัด หรือทวงถามอะไรสักคำ เพราะมั่นใจว่าปุณณ์ไม่มีวันละเลยเรื่องนี้เด็ดขาด ที่จริงผมไม่ตั้งใจจะให้เอิ้นยื่นมือมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่บอกกับเอิ้นไปวันนั้นก็แทบไม่ใกล้เคียงคำว่าปรึกษา แล้วผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนด้วยว่าเอิ้นจะยอมลงมาช่วยมากขนาดนั้น (ทั้งที่มันเองก็มีส่วนของแสตนเชียร์ที่ต้องใช้เงินตัวเองโปะเหมือนกัน) 154
ผมไม่เคยตั้งใจจะให้ใครแทรก เรื่องราวระหว่างผมกับปุณณ์เลยจริง ๆ.. "แม่ง ๆๆๆ..." นอนคิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ป่านนี้มันโกรธผมชิบหายแล้วมั้ง (เป็นผม ผมก็โกรธว่ะ..) เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็สะบัดถุงเท้า แล้วเดินออกไปหยิบกุญแจรถมอไซค์ทันที "ม๊า... เดี๋ยวมานะ" เตาะแตะลงมาข้างล่างก็เจอป๊ากับม๊านั่งดูหนังกันอยู่ สองคนนั้นโบกมือให้เป็นเชิงรับรู้ก่อนที่ผมจะออกไปเข็นมอเตอร์ไซค์คันเก่งเพื่อเผชิญโลกกว้างอีกครั้ง แต่เข็นออกมานอกรั้วบ้านยังไม่ทันจะสตาร์ทเครื่องได้ทันไหร่ ดันเห็นใบหน้าขาว ๆ ของไอ้บ้านั่น นั่งแหมะตรงกระถางต้นไม้หน้าบ้านทำเอาใจหายใจควํ่าซะก่อน "เฮ้ย!!!!!!!!!!!" มึงเป็นไรเนี่ยยย มานั่งเงียบ ๆ คนเดียว! "จะไปไหนอะ...." ไอ้ปุณณ์เมื่อเห็นผมตั้งท่าออกจากบ้านพร้อมรถมอเตอร์ไซค์คันเก่ง ก็รีบเดินเข้ามาถามทันที แล้วจะให้ผมตอบยังไงวะ "มึงเหอะ ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก" เท่าที่สังเกตสภาพไอ้ปุณณ์จากหัวจรดตีน.. มันเล่นมาแบบเต็มยศเลยครับ ชุดนักเรียน ถุงเท้า รองเท้าหนัง กระเป๋านักเรียน... รูปการณ์อย่างนี้ยังไม่เข้าบ้านแน่นอน "กู..." มันอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรซักอย่างแล้วก็เงียบไป.... ผมมองดวงตาคมคู่นั้นที่เอาแต่หลบไปมา ก่อนเจ้าของมันจะวางกระเป๋าลงบนเบาะหลังมอเตอร์ไซค์ผม เหมือนกับจะยังไม่ยอมให้ไป "แล้วมึงอะ.. จะไปไหน..." สรุปว่ามีแต่คนถาม ไม่มีคนไหนยอมตอบว่ะ -_-"... ผมเหล่มองหน้ามันที่ยังดูขุ่นเคืองอยู่ (ถ้าโกรธแล้วมาไมวะ) ก่อนจะเป็นฝ่ายหยิบกระเป๋านักเรียนที่วางไว้ เปลี่ยนเป็นให้มันถือ พลางดึงคนตัวสูงให้ขึ้นมาซ้อนท้ายมอไซค์ไว ๆ "หิวปะ" มันส่ายหัว "แต่กูหิว..." ไม่รู้แหละ ผมดึงมันขึ้นซ้อนแล้วตบเกียร์ออกรถจนมันต้องร้องลั่นซอย 155
.... เราสองคนลัดเลาะตามทางเปลี่ยวของซอยเอกมัย (บ้านผมเอง) ทะลุไปยังถนนทองหล่อ (บ้านไอ้ปุณณ์มัน) เก๋าปะล่ะครับ.. หมวกกันน็อคก็ไม่มี แถมยังใส่ชุดนักเรียนอีกต่างหาก (เครื่องหมายของการไม่มีใบขับขี่แน่นอน) แต่ไม่เป็นไร อาป๊าผมใหญ่ (เหรอ..) ฮ่า ๆ ล้อเล่นครับ แค่จอดรถทุกครั้งที่เห็นหัวปิงปองไหว ๆ อยู่ตามปากซอย ^^" ในที่สุดเราก็รอดคุกรอดตารางมาถึงปากซอยทองหล่อตรงช่วงถนนสุขุมวิทจนได้ ผมตัดสินใจเบรคเอี๊ยดหน้าร้านโจ๊ก เพราะสำเหนียกว่ากินอะไรหนัก ๆ กระเพาะตอนสี่ทุ่มมันจะไม่หล่อเอา.. "มึงกินร้านนี้ไปกินบุฟเฟ่ต์โออิชิไป.." ปุณณ์บ่นผมยิ้ม ๆ เมื่อเห็นป้ายโจ๊กทองหล่อ ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจเพราะรวยซะอย่าง ฮ่า ๆๆ... ไม่ใช่และ เรื่องของเรื่องคือลูกสาวซ้อสวยดี ผมชอบมานั่งกินเหล่สาว หึหึ หลังจากที่สั่งเสร็จ เราสองคนก็จัดการโจ๊กในชามตัวเองเงียบ ๆ... ผมเหล่มองไอ้ห่าตัวไหนไม่รู้ที่ตอนก่อนออกบอกว่าไม่หิว แต่ดันสั่งชามที่สองหน้าตาเฉย.. แถมเหมือนจะจำได้ว่าไอ้ห่าคนเดียวกันบ่นว่าร้านนี้แพง แต่สุดท้ายมันก็เบิ้ลสองอยู่ดี ผมกินไปมองหน้ามันไปขำ ๆ พอปุณณ์เห็นอย่างนั้นจึงคอยยื่นเท้ามาเตะขาผมใต้โต๊ะเป็นระยะ "ขำไร" "กูคงหูแว่วอะ.. ตอนอยู่หน้าบ้านกูได้ยินคนบอกไม่หิว" ผมแซวมันล้อ ๆ พลางยกเป๊บซี่ขึ้นมาดูด โจ๊กของผมหมดแล้ว แต่ไอ้ปุณณ์ยังกินต่อเป็นชามที่สอง "เออ หูมึงไม่ดีอย่างงี้เป็นประธานชมรมดนตรีได้ไงวะ" อ้าวว เล่นด้วยเข้าหน่อยลามเป็นขี้กลากเลยนะมึง "สาดด" ผมเตะขามันกลับ เห็นมันสะดุ้งโหยงจนโจ๊กแทบลวกปากแล้วก็ต้องขำออกมาอีก "เลอะหมดแล้ว แดกโสโครกเป็นเด็กอนุบาล เอาไป ๆๆ" ผมดึงทิชชู่ส่งให้มันโดยที่ไม่คิดจะกลั้นขำ เห็นปุณณ์ใช้หลังมือปาดรอยเลอะแล้วรับทิชชู่ไปจากผมแบบเคือง ๆ "เพราะใครล่ะ" หึหึหึ 156
เรานั่งกินโจ๊กกันไป (จริง ๆ คือมันกินโจ๊ก ผมดูดเป๊บซี่) แหย่กันไปเรื่อย ๆ กระทั่งปุณณ์กวาดโจ๊กคำสุดท้ายเข้าปากพร้อมชมเปาะ "อร่อยว่ะ กูไม่เคยกินร้านนี้ เคยแต่ผ่าน" มันว่างั้น "ได้ข่าวว่าอยู่ปากซอยบ้านมึง" ผมแขวะกลับ ก่อนจะชักขาหลบ เพราะรู้ทันว่าเดี๋ยวมันต้องเตะอีก "ทำเป็นรู้ทันนะมึง" อ้าว... คนหลบทันก็ด่าอีกวะไอ้ห่านี่ ผมนั่งมองปุณณ์กลืนโจ๊กคำสุดท้ายลงคอก่อนซดนํ้าตามเอื้อก ๆ ริมฝีปากบางนั้นคลี่ยิ้มให้ผมผ่านทางก้นใสของแก้วนํ้าที่ดื่มอยู่ "จริง ๆ ก็กะจะขับมอเตอร์ไซค์ไปหากูอยู่แล้วล่ะสิ" เอ๊ะ.. ไอ้ห่า... อยู่ดี ๆ พูดทำไมวะ ผมเลิกคิ้วทำเป็นกวนตีนผิวปากแซวลูกซ้อ ไม่ได้ตอบอะไรมัน แต่ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ แล้วก็ยิ่งยั่วโมโห อยากจะเอาฝ่ารองเท้าส่งไปยันหน้าแข้งแม่งอีกซักที เราสองคนนั่งเงียบ ๆ โดยที่ผมลอยหน้าลอยตาไม่มองปุณณ์อยู่พักใหญ่... "ขอโทษนะเว้ย.." แต่คนที่ทำลายความเงียบด้วยคำพูดนั้นไม่ใช่ผม!?..... ผมสะบัดหน้ามองมันทันที ปุณณ์ขอโทษผมทำไมวะ!!? "ขอโทษทำไม??" คำพูดไปไวเท่าใจคิด ผมเห็นปุณณ์เม้มปากแน่นเหมือนอยากพูดอะไรยาว ๆ "ก็กู..... อารมณ์เสียใส่มึงเมื่อตอนกลางวัน โทษทีว่ะ มึงคงตกใจ" "แล้วมึงเป็นไรอะ" ถึงตรงนี้มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ก็มึง... มีเหี้ยอะไรทำไมไม่บอกกูวะ เสือกเอาไปบอกไอ้เอิ้นเฉยเลย.. มันเป็นใครวะ.. ถ้าคนที่มาช่วยมึงเป็นคนในวงกูจะไม่คิดอะไรเลย แต่ไอ้เอิ้นมันเป็นใครอะ ทำไมมึงต้องให้มันมาช่วยด้วย แล้วมึงมีกูไว้ทำไม กูไม่มีประโยชน์อะไรเลยใช่ไหมในสายตามึง" โห.. ไอ้นี่...... ท่าทางจะอัด157
อั้นมาก.. มันรัวบ่นผมเป็นชุดจนต้องแกล้งยื่นนํ้าให้ เพราะกลัวว่ามันจะคอแห้งเสียก่อน "ไม่ต้องกวนตีน.. มึงตอบกูมาเลย" อ้าว คนหวังดีก็หาว่ากวนตีนอีก ยังไงวะไอ้นี่ "กูไม่ตั้งใจจะบอกเอิ้นมันนะเว่ย วันนั้นมันถามว่าวงเป็นไง กูแค่บ่นให้มันฟังขำ ๆ ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดี ๆ แม่งดันลากกูไปโอนเงินที่ ATM สองทุ่มเฉยเลย กูยังตกใจอะตอนนั้น" "แล้วทำไมมึงไม่บอกกูตั้งแต่ตอนเฮียปุ้ยแบกของมา..." อ้าว มันทำเสียงหาเรื่องผมอีกครับพี่น้อง "ก็กูรู้ว่ามึงพยายามให้กูอยู่ กูเชื่อใจไงว่ามึงจะเอามาให้กูจริง ๆ กูเลยไม่อยากทวง เดี๋ยวได้ตังเมื่อไหร่มึงก็รีบเอามาให้กูเองแหละ.." ผมตอบ เห็นมันทำท่ายิ้มพอใจกับคำตอบผม แต่แล้วก็ปั้นหน้าขรึมออกมาเหมือนเดิม "แต่เสือกไปอ้อนไอ้เอิ้นนะ...." "อ้อนเชี่ยไร" ขอเตะหน้าแข้งแม่งอีกซักทีแล้วกันครับ หมั่นไส้ มันหัวเราะพลางชักขาหลบ (แต่ไม่พ้น) ก่อนจะลุกขึ้นยืนควักกระเป๋าเงินในกางเกงออกมา "กูเลี้ยงเอง... ป้าครับ เก็บตังค์" มันพูดคำแรกกับผมเบา ๆ ก่อนจะชูนิ้ววนเรียกซ้อมาคิดเงิน ผมลุกขึ้นยืนตามมันมั่ง ก่อนจะเดินตามออกไปนอกร้าน แผ่นหลังกว้างที่นำหน้าอยู่ ทำให้ผมอยากจะพูดคำหนึ่งออกมา... "กูก็... ขอโทษนะ.. ไม่ตั้งใจทำให้มึงเสียความรู้สึก.." รอยยิ้มกว้างจากปุณณ์คือคำตอบที่ผมต้องการมากที่สุด ผมยิ้มตอบรอยยิ้มนั้น ก่อนที่ปุณณ์จะโอบเอาไหล่ผมให้เดินไปคู่กัน *** 158
เราสองคนขี่มอเตอร์ไซค์ต๊อกต๋อยฝ่าทั้งความมืดและรถยนต์จำนวนมากของนักท่องราตรีกลับมายังหน้ารั้วบ้านหลังใหญ่ (แน่นอนว่าหลบตำรวจเป็นพัก ๆ ตามเคย) มองเข้าไปเห็นไฟบางห้องยังเปิดอยู่ แม้จะใกล้เวลาเที่ยงคืนเข้าไปแล้วก็ตาม "มึงบอกใครยังว่าจะกลับบ้านดึก" ผมถามมันระหว่างที่ตบเกียร์หยุดรถจอดหน้าบ้าน "บอกแล้ว บอกแป้งว่าไปกับมึง.. หึหึ" "หาเรื่องให้กูจังวะ!" ไอ้ห่านี่นิ่... ผมปัดขาหมายจะเตะตูดมันที่เพิ่งลงจากมอไซค์ แต่มันเสือกเอี้ยวตัวหลบทันแถมยังหัวเราะหึหึใส่ผมอีก "เจอกัน ๆ" แต่ก็ช่างเห๊อะ.. ผมโบกมือรํ่าลามัน ก่อนทำท่าจะตบเกียร์มอเตอร์ไซค์ให้ออกตัวต่อ แล้วก็คงขับไปถึงถนนใหญ่แล้ว ถ้ามันไม่เรียกผมเอาไว้เสียก่อน "โน่........." "ว่าไง?" ผมหยุดการกระทำพลางหันกลับไป แต่ไม่ได้ยินคำตอบ นอกจากไอ้ปุณณ์ที่สาวท้าวเข้ามาใกล้ผม.. ผมมองมือมันที่โอบมารอบคอเหมือนพยายามทำอะไรบางอย่าง "ทำเชี่ยไรวะ!?" "อยู่นิ่ง ๆ น่า...." มือมันยุกยิก ๆ อยู่แถวคอผมแว่บนึง ก่อนที่ผมจะถึงบางอ้อ เมื่อเห็นสร้อยคอเส้นนั้นถูกถอดออก "ใส่ของสแตนไม่อายรึไง" มันว่างั้น ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับมันทุกประการ "เออ อาย ลืมถอด มัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่... ขอบใจหวะที่เตือน" ผมว่าพลางยื่นมือออกไป หมายจะรับแท็คเหล็กที่ไอ้เอิ้นใส่ให้เมื่อตอนกลางวันคืน แต่ไอ้ปุณณ์ดันยัดแท็คลงกระเป๋าเสื้อตัวมันเองหน้าตาเฉย... ไอ้ห่านี่ กวนตีน "กูเอาไปคืนเอิ้นให้เอง..." อ้าวว น่าเกลียดว่ะมึง! ผมอ้าปากค้างมองมันอย่างไม่เข้าใจ 159
"กูคืนเอง เอามานี่" แล้วศึกชิงแท็คก็เกิดขึ้น.. ผมเอื้อมตัวหมายจะคว้าสร้อยคอโลหะจากกระเป๋าเสื้อปุณณ์แต่มันเสือกเบี่ยงหลบผม แถมยังผลักหัวอีกด้วย หน็อยย ไอ้ห่านี่ ถือว่าสูงกว่าแล้วจะทำอะไรก็ได้รึไงวะะะะะะะ "มึงอะปฏิเสธคนไม่เป็น เดี๋ยวมันบังคับเข้าหน่อยมึงก็เอามาใส่อีก กูคืนให้เองดีแล้ว" มันว่าพลางตบกระเป๋าเสื้อปุ ๆ เป็นเชิงว่ายังไงก็ไม่คืนให้ผมแน่... ซึ่งก็จริงของมัน มาลองคิดอีกที ผมก็ไม่ค่อยสู้คนจริง ๆ ใครบังคับอะไร ผมยอมตลอด.. ดูตัวอย่างไอ้ปุณณ์สิ ไม่งั้นจะเป็นอย่างนี้เหรอ "เออ ๆ งั้นฝากด้วย" "แล้วไม่ใช่ใครให้อะไรก็รับไปทั่วอีกล่ะ โดยเฉพาะไอ้เอิ้นน่ะ" แต่คำพูดแบบนั้นของปุณณ์ ดันสะกิดให้ผมรู้สึกแปลก ๆ จนได้ว่ะ... เหมือนกับว่ามัน... ไม่พอใจที่ผมรับของจากเอิ้น มากกว่าไม่พอใจที่ผมรับแท็คเหล็กแสตน ยังไงยังงั้น "ปุณณ์...." ผมออกเสียงเรียกมันเบา ๆ ให้อีกฝ่ายหันกลับมามองผม "ว่าไง" เสียงปุณณ์ถามอย่างอ่อนโยนจนผมกลืนนํ้าลายฝืดคอ.. "เราไม่ใช่เจ้าของกันหรอกนะ..." แม้กระทั่งตัวผม ที่เป็นคนพูดออกไปเอง ก็ยังอดรู้สึกจุกแปลก ๆ ในอกไม่ได้.. ประสาอะไรกับคนฟังอย่างปุณณ์.. ที่คงรู้สึกไปไม่น้อยกว่าผมเลย.. แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพูด... เราต่างต้องเตือนตัวเองบ่อย ๆ จริง ๆ.. ผมบอกตัวเองให้ทำใจให้ชิน กับสภาพของการไม่มี 'เรา' ปุณณ์คลี่ยิ้มเหงา ๆ กลับมาให้ผม ก่อนจะสาวเท้ามาใกล้มากขึ้น.. ใบหน้าคมนั้นมองมาพลางยื่นมือลูบแก้มผมอย่างอ่อนโยน 160
"จะให้ปุบปับกูตัดใจเลย... ทำไม่ได้หรอก" ผมสบตามันพร้อมอมยิ้มให้สัมผัสนั้น อดคิดในใจไม่ได้ว่า ถ้าขอแค่เป็นเพื่อนกันแบบนี้ต่อไป จะมากเกินไปไหม แต่ยังไม่ทันจะได้ปริปากอะไรออกมา ใบหน้าปุณณ์ที่คุ้นเคยดีก็โน้มมาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจเสียก่อน ผมเกร็งตัวหลับตาแน่น พร้อม ๆ กับความรู้สึกหยุ่นแต่อบอุ่นที่ประทับลงบนหน้าผากอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนออก ผมเลือกยักคิ้วให้มันข้างหนึ่งกวน ๆ แก้เขิน "ก็ทำได้แค่นี้แหละ หึหึ.." "แค่นี้ก็ยังดีน่า..." เสียงปุณณ์ตอบว่าอย่างนั้นก่อนจะโบกมือให้ เป็นเครื่องหมายว่ากําลังจะเข้าบ้านไป "ขี่รถระวัง ๆ นะ" "เออ.. เจอกัน" ผมบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ข้างในตอนนี้คืออะไร.. ผมไม่รู้จริง ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น