ตอนเช้าที่ใกล้วันจริงเข้าไปทุกที.. ผมเดินมองรองเท้าตัวเองพลางวนไปวนมาหน้าห้องสภานักเรียน
ด้วยความลังเลว่าจะเปิดประตูเข้าไปเลยดีไหม หรือทำแบบนั้นจะดูแปลก ๆ ไปหว่าา.....
เอาแต่คิดแล้วก็วนนนนนอยู่อย่างนั้นจนชักมึน ขืนให้วนต่ออีกรอบคงไม่ไหว
มีหวังได้ฝากของขวัญไว้บนพื้นตึกอำนวยการแหง๋... ว่าแต่ เออ..
แล้วจะมาเดินวนหาอะไรวะ? ผมคิดด่าตัวเองอยู่แป๊บหนึ่งก่อนตัดสินใจควักมือถือขึ้นมามองหน้าจอนิ่ง....
อืม... มีเรื่องต้องคุยกับปุณณ์นิดหน่อย เกี่ยวกับงบประมาณชมรมดนตรีที่เคยตกลงไว้
เพราะไม่อย่างนั้นแย่แน่.... เอาไงดี.. หรือจะเปลี่ยนเป็นโทรไปหามันแทน.... แต่ว่า.........
จริง ๆ แล้วก็แอบอยากเจอ.. เฮ้ย!! คิดอะไรวะ! ไร้สาระว่ะ!! ผมเขกกะบาลตัวเองแรง
ๆ ที่บังอาจคิดเรื่องผิดผีกับแฟนชาวบ้าน ก่อน148
ตัดสินใจจิ้มเบอร์ปุณณ์ที่หน้าจอแล้วกดปุ่มโทรออกทันที
'ได้แค่เพื่อนก็ดีเท่าไหร่ แม้จะได้แค่เพียงใกล้กัน ใครคนนั้นคงไม่ว่า..
ช่วยไม่ได้ถ้ารักเขาก่อน ฉันต้องซ่อนอาการมากมาย ไม่ให้เธอรับรู้ได้จากสายตา...'
อื้อหือ............ caller
ring เพลงเชี่ยอะไรของมันเนี่ยย ทำเอาผมต้องรีบผลักโทรศัพท์ออกจากหูตอนได้ยินเสียงเนื้อร้องเพลงทันที
(ของใครวะ ไม่เคยฟัง) แต่คิดสงสัยได้ไม่นานเพลงนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงทุ้มของปุณณ์อย่างรวดเร็ว
"ครับโน่?" มึงอย่าทำมาเป็นพูดเพราะได้ปะ
กูจั๊กจี้! "อยู่ไหนวะ.. มึง"
"ห้องสภาฯ โน่อยู่ไหน ให้ไปหารึเปล่า?" เสนอตัวจริง ๆ.. ผมหัวเราะหึหึใส่มือถือพลางแหงนหน้าเงยมองป้ายห้องสภาฯที่แขวนตระหง่านอยู่บนหัว
"อีกครึ่งวิเจอกัน" แล้วก็แค่ครึ่งวินาทีจริง
ๆ เพราะผมกดทิ้งสายปุณณ์พร้อมผลักประตูห้องสภาฯเข้าไปเลย ทำเอาหน้ามันเหวอโคตร
(ในมือยังถือโทรศัพท์ค้างอยู่เลยครับ หึหึ) แต่ห้องนั้นดันไม่ได้มีมันอยู่แค่คนเดียวว่ะ
ผมคงลืมไปว่านี่ไม่ใช่ห้องส่วนตัว เพราะในนั้นยังมีฟี่ (ประธานนักเรียน)
แบงค์ (ตำแหน่งไรไม่รู้) กับรุ่นน้องม.4 อีก 2 คน แล้วก็.....
ไอ้เอิ้น ประธานเชียร์ เงยหน้ามองผมกันสลอน "อ้าวโน่! มาทำไร!" เจ้าของเสียงที่ร้องทักผมก่อนใครคือเอิ้น
ขณะที่ปุณณ์เพียงแค่ยิ้มให้นิ่ง ๆ พลางเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงมันก่อนจะพูด
"ทำไมไม่เข้ามาแต่แรกล่ะ" เหอ ๆๆ ได้ยินปุณณ์พูดแบบนี้เอิ้นคงรู้แล้วมั้งว่าผมมาหาใคร
แน่นอนว่าผมยักไหล่กวน ๆ ให้ปุณณ์กลับ พลางหันไปยิ้มให้เอิ้นที่กําลังนับของกองโตอยู่
เรื่องของเรื่องคือต่อมเสือกเริ่มตอกบัตรทำงานนั่นเอง "อะไรอะเอิ้น!
ถุงใหญ่โคตรร" 149
"ของที่ระลึกน้องขึ้นแสตนน่ะ" มันตอบกลับพร้อมลักยิ้ม พลางหยิบของที่ว่ามาโชว์ ของที่ระลึกปีนี้เป็นป้ายเหล็กสีเงินสลักชื่อโรงเรียน
ส่วนด้านหลังสลักคำว่า ALL IS ONE ครับ! สวยชิบหาย! "แม่งเท่ห์โคตรรรรรรรรรรรรรร กูอยากได้ว่ะ
ถ้าเหลือขอกูนะ ๆๆ" ทันทีที่ได้เห็น ผมรีบกระโดดใส่แท็คเหล็กพวกนั้นด้วยความอยากได้(เชี่ย ๆ) ทำเอาไอ้เอิ้นหัวเราะใหญ่ คงเพราะผมโดดเกาะแขนมันแจเหมือนลูกแมวไม่มีผิด
ว่าแต่ไอ้ปุณณ์จะกระแอมกระไอเชี่ยไรของมันวะ สงสัยคงไม่สบายอีก "มึงน่ะไม่ต้องรอเหลือหรอกโน่..." อยู่ดี ๆ เอิ้นก็พูดคำนี้ขึ้นมา
แน่นอนว่าผมไม่ค่อยรู้สึกกระจ่างซักเท่าไหร่ ยิ่งพอเห็นเอิ้นทำท่ายุกยิกเหมือนจะหยิบของในถุง
ผมก็ยอมปล่อยแขนมันแต่โดยดี "กูให้ตอนนี้เลย"
แถมไอ้เอิ้นไม่พูดเปล่า เพราะมันหยิบแท็คเหล็กออกจากถุงมายื่นให้ผมด้วย!
ทำเอาผมตาโตพอ ๆ กับตอนได้ยินว่ามันจะให้ยืมเงินนั่นแหละ แต่แน่นอนว่าถึงจะน่าดีใจแค่ไหน
ไอ้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง "เฮ้ย!
ไม่เอา!!" ผมรีบเบี่ยงตัวหลบประธานเชียร์ที่เอื้อมมือมาจะคล้องแท็คเหล็กใส่คอผม
พร้อมกับคำโวยวายอีกยืดยาว "มึง!! มันเป็นของน้องแสตน ไว้เหลือก่อนแล้วค่อยให้คนอื่นสิวะ น่าเกลียดว่ะ"
ซึ่งหมายความตามที่พูดเป๊ะ ๆ ครับ ผมได้ของที่ระลึกจากแสตนงานบอลแทบทุกปีก็จริง
แต่ทุกครั้งเป็นของเหลือจากแสตนทั้งนั้น ไม่เคยมีใครเอามาแจกคนนอกก่อน เพราะจุดประสงค์ของของที่ระลึกก็เพื่อมอบเป็นค่าตอบแทนนํ้าใจน้อง
ๆ ม.ต้นที่เสียสละเวลามาให้ความร่วมมือกับรุ่นพี่ ขึ้นแสตนกันทุกคน
(โดนดุโดนด่าอีกต่างหาก) ไม่ได้มีไว้เพื่อให้รุ่นพี่เอามาแจกกันเองแบบนี้
แต่เอิ้นทำท่าไม่สนใจ มันยักไหล่ "เออน่า.. เหลืออยู่แล้วล่ะ... ให้โน่ไว้ก่อนไง จะได้ไม่ถูกคนอื่นแย่งไป"
แถมทำท่าจะคล้องแท็คลงคอผมให้ได้อีก! แม่ง....
ไม่ว่าจะพยายามเอี้ยวตัวหลบไปทางไหน ก็หนีไม่พ้นตัว150
ควาย ๆ ของเอิ้นเลยสิน่าาาาา "เฮ้ย ไม่เอาาาาาาาาาาาาาาาา" "ไม่รู้แหละ...
อะนี่ ถือว่าให้แล้ว ไม่รับคืน" มันปลํ้าใส่สร้อยคอให้ผมเสร็จจนได้แล้วยังยิ้มแปล้...
ส่วนผมคลำแท็คที่คล้องอยู่บนคอตัวเองแบบมึน ๆ เพราะรู้สึกเหมือนโดนบังคับอีกแล้ว
"เดี๋ยวกูมานะฟี่..." เฮ้ย!..
นั่นมันเสียงไอ้ปุณณ์นี่หว่า!! เกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองมาทำไม!!!!!!
ผมหันควับมองหน้าปุณณ์ที่ไม่ยอมสบตาผม.. ไอ้ห่า...
มันเดินตัวปลิวออกไปโน่นแล้ว หมดกัน ๆๆๆ "ฝากไว้ก่อนเหอะเอิ้น! เดี๋ยวกูมา!!" ***
"ปุณณ์!!! ปุณณ์!!!! ปุณณ์!!!!!! ปุณณ์โว๊ย!!! สัด...
กูเหนื่อยย" ขาก็ยาวเสือกจะก้าวฉับ ๆๆ ยังกะตามควายหาย
ไม่สงสารคนวิ่งตามมึงอีกทีมั่งรึไง ยิ่งไม่ได้ออกกําลังกายอยู่ รู้บ้างมั้ยว่าโคตรเหนื่อย
"นี่กูจะมาถามเรื่องเงินชมรมนะ!!!" วิ่งไม่ทันก็เอาเสียงเข้าสู้นี่ล่ะวะ!
ผมคิดพลางตะโกนออกไปลั่นทางเดินที่ไม่ค่อยมีคนของตึกอำนวยการ ซึ่งก็ได้ผล..
ปุณณ์ชะงักฝีเท้ากึก เปิดโอกาสให้ผมวิ่งตามทัน ถึงแม้มันจะยังไม่ยอมหันมาก็เถอะ
"เป็นไรวะ ท่าทางแปลก ๆ ไม่สบายปะ" เห็นดังนั้น
เมื่อมาถึงผมจึงรีบใช้หลังมืออังต้นคอปุณณ์เพื่อวัดอุณหภูมิดูทันที (จริง ๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าแบบไหนร้อนแบบไหนเย็น แค่ทำพอเป็นพิธีไปงั้นแหละครับ)
แต่สังเกตได้ว่าปุณณ์เบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะยอมหันกลับมามอง 151
"เรื่องเงินชมรมมีอะไรรึเปล่า..
กูกําลังช่วยอยู่ ขอโทษนะ" อืม...
ตอนนี้หน้ามันดูรู้สึกผิดจนผมต้องตบบ่าปลอบ ช่างเถอะ แค่ได้ยินปุณณ์พูดแบบนี้ก็สบายใจแล้วล่ะ
ผมรู้ยังไงมันก็เป็นคนที่ช่วยเหลือผมอยู่เสมอ ไม่มีทางทำให้เสียแรงที่ไว้ใจเด็ดขาด
แต่วันนี้แค่แวะมาถามเพื่อยํ้าดูอีกที "มึงรีบมากรึเปล่า?"
ปุณณ์ถามผมอีก ถึงตรงนี้รู้สึกอึกอักนิดหน่อย เหมือนปากจะขยับไม่ได้ดังใจคิด...
ให้ตอบว่ายังไงดีวะ.. "ก็...... ตอนแรกก็รีบอะนะ เพราะเฮียปุ้ยมาส่งของเมื่อวาน แล้วจะเอาเงินภายในอาทิตย์นี้...
แต่ตอนนี้ก็... ก็รีบอยู่ดีอะ แต่ไม่รีบเท่าไหร่แล้ว"
คำที่ตอบออกไปฟังดูเบลอ ๆ ใช่ปะ? เออ..
ผมก็งงกับตัวเองเหมือนกัน "หมายความว่าไงอะ
ตกลงต้องใช้อาทิตย์นี้รึเปล่า ถ้าอย่างนั้นเอาเงินกูไปก่อน" แหม..... คนรวยมันเยอะจริงโว๊ยโรงเรียนเรา!!
"ไม่เป็นไร ๆ เมื่อวานกูเจอเอิ้นพอดี มันเลยช่วยโอนให้ก่อนแล้ว...
เหลือแต่.... เอาตังค์ไปคืนนี่แหละ.. ติดแม่งนาน ๆ กูก็เกรงใจ.." ผมอธิบายเสียงอ่อย พร้อม
ๆ กับสังเกตได้ว่าสีหน้าปุณณ์ยิ่งแปลกไป "มึง......
คุยเรื่องนี้กับเอิ้นเหรอ..?" "อืม..
เมื่อวานบังเอิญเจอตอนเย็น ๆ อะ" "แล้วก็คุยเรื่องเงินชมรมนี่น่ะเหรอ"
"เออ.... ปรึกษานิดหน่อย"
"ปรึกษา?" ถึงตรงนี้ผมเริ่มรำคาญที่มันถามยุกยิกแล้วว่ะครับ
"มึงอะไรเนี่ย เค้นกูจังงง!!!" แน่นอนว่าผมโวยใส่มันตามระเบียบ
แต่แค่อีกฝ่ายหันขวับมาจ้องหน้าผม ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเริ่มหด เหลือเล็กเท่าลูกเทนนิสเท่านั้น....
152
ทำไมมันน่ากลัวจังว๊าาา T__T ผมสะดุ้งนิดหน่อยที่ถูกปุณณ์ปั้นหน้าดุใส่
ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวถอยหลัง เพราะคนตรงหน้ากําลังต้อนมาเรื่อย จนในที่สุด ผมก็รู้สึกได้ว่าด้านหลังเป็นกําแพว...
โฮ.. ไม่มีที่หนีแล้วว่ะ จะฆ่ากูหมกตึกเรียนแล้วโบกปูนทับทำลายหลักฐานปะวะ!
T__T เสียงแหบของปุณณ์ดังขึ้นเหมือนคนไม่อยากเปล่งเสียง
"มึง.................." กู
?.. ทำไม.. ผมมองตอบมันที่จ้องตาผมนิ่งก่อนที่เจ้าของคำนั้นจะเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีเอง
จนผมต้องแอบถอนหายใจโล่งที่เป็นอย่างนั้นซะได้ เพราะไม่เคยเห็นสายตาปุณณ์เป็นแบบนี้มาก่อน
แอบคิดในใจว่าหรือปุณณ์จะใจเย็นลงบ้างแล้ว.. แต่ว่า...
'ปึง!!!' เชี่ยแม่ง! ทุบตึกเรียนทำไมวะ!!!!! ปูนร้าวขึ้นมาเดี๋ยวอธิการก็เรี่ยไรตังค์พวกกูอีก!!!!!!!!!!!
ผมคิดเล่น ๆ ทั้งที่ไม่รู้สึกขำเลยสักนิด เพราะใบหน้าปุณณ์ที่ถึงจะมองเห็นไม่ถนัดแต่ก็จับพลังได้ว่ากําลังเดือดมากอยู่..
เสียงปุณณ์สูดลมหายใจลึกดังก่อนที่เจ้าตัวจะพูดอะไรบางอย่าง
"มึงมีอะไร.. ทำไมไม่บอกกู.."
ปุณณ์ถามทั้งที่ไม่มองหน้าผมซักแอะ... แน่นอนว่าผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ปุณณ์อยากจะสื่อ
"อะไรวะปุณณ์?" "มึง........
ไม่เชื่อใจกูเลยสินะ.." นั่นเป็นคำพูดสุดท้าย
ก่อนปุณณ์จะลดมือที่คาอยู่บนกําแพงลง ผมมองหน้ามันไม่ถนัดว่ากําลังอยู่ในอารมณ์ไหน
แต่ปุณณ์ก็เดินหลบผมไปไกลแล้ว.... 153
กูไม่เชื่อใจมึง?
วันนี้ทั้งวันผ่านไปแบบเหนื่อย
ๆ เพราะถึงผมจะไม่ใช่โต้โผในการฝึกซ้อม marching band แต่หน้าที่เตรียมงานทั้งหมดให้วงก็ตกเป็นของผมแบบเต็ม
ๆ อยู่ดี... ที่แน่ ๆ วันนี้นั่งซ่อมเครื่องดนตรีให้เกือบทั้งวงจนคิดว่าเรียนจบไปคงเปิดร้านซ่อมได้เองแน่
ๆ แล้ว ผมกลับถึงบ้านโดยมีนาฬิกาข้อมือบอกเวลาสี่ทุ่มกว่า หลังจากโยนกระเป๋าลงบนเตียงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องหงายตัวลงนอนพ่นลมหายใจออกมาพรู
เรื่องของไอ้ปุณณ์เมื่อตอนกลางวันยังรบกวนความคิดไม่หาย.. คำที่อีกฝ่ายบอกว่าผมไม่เชื่อใจมัน..
ผมรู้ดีว่าปุณณ์กําลังหมายถึงเรื่องอะไร ผมยอมรับว่าตัวเองผิดโคตร ๆ
ที่ไม่โทรบอกมันตั้งแต่ทีแรก ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าคนที่พร้อมช่วยเหลือผมมากที่สุดคือใคร..
ผมยอมรับว่าผมผิด ที่ทำร้ายจิตใจปุณณ์ด้วยการปล่อยให้คนอื่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
แทนที่จะเป็นมัน... แต่จริง ๆ แล้วผมแค่รู้สึกเกรงใจ เพราะตัวเองรู้ดีว่าคนที่พยายามช่วยผมอย่างเต็มที่มากที่สุดก็คือปุณณ์..
ผมรู้ดีว่าหากเงินออกแล้วจริง ๆ คนที่จะวิ่งเอาเงินมาให้ผมด้วยความดีใจที่สุดก็ต้องเป็นปุณณ์..
มันคือความเชื่อใจที่ผมมีให้ปุณณ์เต็มร้อย จนไม่เคยคิดแม้แต่จะเร่งรัด
หรือทวงถามอะไรสักคำ เพราะมั่นใจว่าปุณณ์ไม่มีวันละเลยเรื่องนี้เด็ดขาด ที่จริงผมไม่ตั้งใจจะให้เอิ้นยื่นมือมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่บอกกับเอิ้นไปวันนั้นก็แทบไม่ใกล้เคียงคำว่าปรึกษา แล้วผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนด้วยว่าเอิ้นจะยอมลงมาช่วยมากขนาดนั้น
(ทั้งที่มันเองก็มีส่วนของแสตนเชียร์ที่ต้องใช้เงินตัวเองโปะเหมือนกัน)
154
ผมไม่เคยตั้งใจจะให้ใครแทรก
เรื่องราวระหว่างผมกับปุณณ์เลยจริง ๆ.. "แม่ง ๆๆๆ..."
นอนคิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ป่านนี้มันโกรธผมชิบหายแล้วมั้ง
(เป็นผม ผมก็โกรธว่ะ..) เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็สะบัดถุงเท้า
แล้วเดินออกไปหยิบกุญแจรถมอไซค์ทันที "ม๊า... เดี๋ยวมานะ" เตาะแตะลงมาข้างล่างก็เจอป๊ากับม๊านั่งดูหนังกันอยู่
สองคนนั้นโบกมือให้เป็นเชิงรับรู้ก่อนที่ผมจะออกไปเข็นมอเตอร์ไซค์คันเก่งเพื่อเผชิญโลกกว้างอีกครั้ง
แต่เข็นออกมานอกรั้วบ้านยังไม่ทันจะสตาร์ทเครื่องได้ทันไหร่ ดันเห็นใบหน้าขาว ๆ ของไอ้บ้านั่น
นั่งแหมะตรงกระถางต้นไม้หน้าบ้านทำเอาใจหายใจควํ่าซะก่อน "เฮ้ย!!!!!!!!!!!" มึงเป็นไรเนี่ยยย มานั่งเงียบ
ๆ คนเดียว! "จะไปไหนอะ...." ไอ้ปุณณ์เมื่อเห็นผมตั้งท่าออกจากบ้านพร้อมรถมอเตอร์ไซค์คันเก่ง
ก็รีบเดินเข้ามาถามทันที แล้วจะให้ผมตอบยังไงวะ "มึงเหอะ
ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก" เท่าที่สังเกตสภาพไอ้ปุณณ์จากหัวจรดตีน..
มันเล่นมาแบบเต็มยศเลยครับ ชุดนักเรียน ถุงเท้า รองเท้าหนัง กระเป๋านักเรียน...
รูปการณ์อย่างนี้ยังไม่เข้าบ้านแน่นอน "กู..."
มันอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรซักอย่างแล้วก็เงียบไป.... ผมมองดวงตาคมคู่นั้นที่เอาแต่หลบไปมา ก่อนเจ้าของมันจะวางกระเป๋าลงบนเบาะหลังมอเตอร์ไซค์ผม
เหมือนกับจะยังไม่ยอมให้ไป "แล้วมึงอะ.. จะไปไหน..." สรุปว่ามีแต่คนถาม ไม่มีคนไหนยอมตอบว่ะ
-_-"... ผมเหล่มองหน้ามันที่ยังดูขุ่นเคืองอยู่ (ถ้าโกรธแล้วมาไมวะ) ก่อนจะเป็นฝ่ายหยิบกระเป๋านักเรียนที่วางไว้
เปลี่ยนเป็นให้มันถือ พลางดึงคนตัวสูงให้ขึ้นมาซ้อนท้ายมอไซค์ไว ๆ "หิวปะ" มันส่ายหัว "แต่กูหิว..."
ไม่รู้แหละ ผมดึงมันขึ้นซ้อนแล้วตบเกียร์ออกรถจนมันต้องร้องลั่นซอย 155
.... เราสองคนลัดเลาะตามทางเปลี่ยวของซอยเอกมัย
(บ้านผมเอง) ทะลุไปยังถนนทองหล่อ (บ้านไอ้ปุณณ์มัน) เก๋าปะล่ะครับ.. หมวกกันน็อคก็ไม่มี แถมยังใส่ชุดนักเรียนอีกต่างหาก (เครื่องหมายของการไม่มีใบขับขี่แน่นอน) แต่ไม่เป็นไร
อาป๊าผมใหญ่ (เหรอ..) ฮ่า ๆ ล้อเล่นครับ
แค่จอดรถทุกครั้งที่เห็นหัวปิงปองไหว ๆ อยู่ตามปากซอย ^^" ในที่สุดเราก็รอดคุกรอดตารางมาถึงปากซอยทองหล่อตรงช่วงถนนสุขุมวิทจนได้ ผมตัดสินใจเบรคเอี๊ยดหน้าร้านโจ๊ก
เพราะสำเหนียกว่ากินอะไรหนัก ๆ กระเพาะตอนสี่ทุ่มมันจะไม่หล่อเอา.. "มึงกินร้านนี้ไปกินบุฟเฟ่ต์โออิชิไป.." ปุณณ์บ่นผมยิ้ม
ๆ เมื่อเห็นป้ายโจ๊กทองหล่อ ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจเพราะรวยซะอย่าง ฮ่า ๆๆ... ไม่ใช่และ เรื่องของเรื่องคือลูกสาวซ้อสวยดี ผมชอบมานั่งกินเหล่สาว หึหึ หลังจากที่สั่งเสร็จ
เราสองคนก็จัดการโจ๊กในชามตัวเองเงียบ ๆ... ผมเหล่มองไอ้ห่าตัวไหนไม่รู้ที่ตอนก่อนออกบอกว่าไม่หิว
แต่ดันสั่งชามที่สองหน้าตาเฉย.. แถมเหมือนจะจำได้ว่าไอ้ห่าคนเดียวกันบ่นว่าร้านนี้แพง
แต่สุดท้ายมันก็เบิ้ลสองอยู่ดี ผมกินไปมองหน้ามันไปขำ ๆ พอปุณณ์เห็นอย่างนั้นจึงคอยยื่นเท้ามาเตะขาผมใต้โต๊ะเป็นระยะ
"ขำไร" "กูคงหูแว่วอะ..
ตอนอยู่หน้าบ้านกูได้ยินคนบอกไม่หิว" ผมแซวมันล้อ
ๆ พลางยกเป๊บซี่ขึ้นมาดูด โจ๊กของผมหมดแล้ว แต่ไอ้ปุณณ์ยังกินต่อเป็นชามที่สอง
"เออ หูมึงไม่ดีอย่างงี้เป็นประธานชมรมดนตรีได้ไงวะ"
อ้าวว เล่นด้วยเข้าหน่อยลามเป็นขี้กลากเลยนะมึง "สาดด" ผมเตะขามันกลับ เห็นมันสะดุ้งโหยงจนโจ๊กแทบลวกปากแล้วก็ต้องขำออกมาอีก
"เลอะหมดแล้ว แดกโสโครกเป็นเด็กอนุบาล เอาไป ๆๆ" ผมดึงทิชชู่ส่งให้มันโดยที่ไม่คิดจะกลั้นขำ เห็นปุณณ์ใช้หลังมือปาดรอยเลอะแล้วรับทิชชู่ไปจากผมแบบเคือง
ๆ "เพราะใครล่ะ" หึหึหึ 156
เรานั่งกินโจ๊กกันไป (จริง
ๆ คือมันกินโจ๊ก ผมดูดเป๊บซี่) แหย่กันไปเรื่อย ๆ กระทั่งปุณณ์กวาดโจ๊กคำสุดท้ายเข้าปากพร้อมชมเปาะ
"อร่อยว่ะ กูไม่เคยกินร้านนี้ เคยแต่ผ่าน" มันว่างั้น "ได้ข่าวว่าอยู่ปากซอยบ้านมึง"
ผมแขวะกลับ ก่อนจะชักขาหลบ เพราะรู้ทันว่าเดี๋ยวมันต้องเตะอีก
"ทำเป็นรู้ทันนะมึง" อ้าว...
คนหลบทันก็ด่าอีกวะไอ้ห่านี่ ผมนั่งมองปุณณ์กลืนโจ๊กคำสุดท้ายลงคอก่อนซดนํ้าตามเอื้อก
ๆ ริมฝีปากบางนั้นคลี่ยิ้มให้ผมผ่านทางก้นใสของแก้วนํ้าที่ดื่มอยู่ "จริง ๆ ก็กะจะขับมอเตอร์ไซค์ไปหากูอยู่แล้วล่ะสิ" เอ๊ะ.. ไอ้ห่า... อยู่ดี ๆ พูดทำไมวะ
ผมเลิกคิ้วทำเป็นกวนตีนผิวปากแซวลูกซ้อ ไม่ได้ตอบอะไรมัน แต่ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะแผ่ว
ๆ แล้วก็ยิ่งยั่วโมโห อยากจะเอาฝ่ารองเท้าส่งไปยันหน้าแข้งแม่งอีกซักที เราสองคนนั่งเงียบ
ๆ โดยที่ผมลอยหน้าลอยตาไม่มองปุณณ์อยู่พักใหญ่... "ขอโทษนะเว้ย.."
แต่คนที่ทำลายความเงียบด้วยคำพูดนั้นไม่ใช่ผม!?..... ผมสะบัดหน้ามองมันทันที ปุณณ์ขอโทษผมทำไมวะ!!? "ขอโทษทำไม??" คำพูดไปไวเท่าใจคิด ผมเห็นปุณณ์เม้มปากแน่นเหมือนอยากพูดอะไรยาว
ๆ "ก็กู..... อารมณ์เสียใส่มึงเมื่อตอนกลางวัน
โทษทีว่ะ มึงคงตกใจ" "แล้วมึงเป็นไรอะ"
ถึงตรงนี้มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ก็มึง...
มีเหี้ยอะไรทำไมไม่บอกกูวะ เสือกเอาไปบอกไอ้เอิ้นเฉยเลย.. มันเป็นใครวะ.. ถ้าคนที่มาช่วยมึงเป็นคนในวงกูจะไม่คิดอะไรเลย
แต่ไอ้เอิ้นมันเป็นใครอะ ทำไมมึงต้องให้มันมาช่วยด้วย แล้วมึงมีกูไว้ทำไม กูไม่มีประโยชน์อะไรเลยใช่ไหมในสายตามึง"
โห.. ไอ้นี่...... ท่าทางจะอัด157
อั้นมาก.. มันรัวบ่นผมเป็นชุดจนต้องแกล้งยื่นนํ้าให้
เพราะกลัวว่ามันจะคอแห้งเสียก่อน "ไม่ต้องกวนตีน..
มึงตอบกูมาเลย" อ้าว คนหวังดีก็หาว่ากวนตีนอีก
ยังไงวะไอ้นี่ "กูไม่ตั้งใจจะบอกเอิ้นมันนะเว่ย วันนั้นมันถามว่าวงเป็นไง
กูแค่บ่นให้มันฟังขำ ๆ ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดี ๆ แม่งดันลากกูไปโอนเงินที่ ATM
สองทุ่มเฉยเลย กูยังตกใจอะตอนนั้น" "แล้วทำไมมึงไม่บอกกูตั้งแต่ตอนเฮียปุ้ยแบกของมา..." อ้าว มันทำเสียงหาเรื่องผมอีกครับพี่น้อง "ก็กูรู้ว่ามึงพยายามให้กูอยู่
กูเชื่อใจไงว่ามึงจะเอามาให้กูจริง ๆ กูเลยไม่อยากทวง เดี๋ยวได้ตังเมื่อไหร่มึงก็รีบเอามาให้กูเองแหละ.."
ผมตอบ เห็นมันทำท่ายิ้มพอใจกับคำตอบผม แต่แล้วก็ปั้นหน้าขรึมออกมาเหมือนเดิม
"แต่เสือกไปอ้อนไอ้เอิ้นนะ...." "อ้อนเชี่ยไร" ขอเตะหน้าแข้งแม่งอีกซักทีแล้วกันครับ
หมั่นไส้ มันหัวเราะพลางชักขาหลบ (แต่ไม่พ้น) ก่อนจะลุกขึ้นยืนควักกระเป๋าเงินในกางเกงออกมา "กูเลี้ยงเอง... ป้าครับ เก็บตังค์" มันพูดคำแรกกับผมเบา ๆ ก่อนจะชูนิ้ววนเรียกซ้อมาคิดเงิน ผมลุกขึ้นยืนตามมันมั่ง
ก่อนจะเดินตามออกไปนอกร้าน แผ่นหลังกว้างที่นำหน้าอยู่ ทำให้ผมอยากจะพูดคำหนึ่งออกมา...
"กูก็... ขอโทษนะ.. ไม่ตั้งใจทำให้มึงเสียความรู้สึก.." รอยยิ้มกว้างจากปุณณ์คือคำตอบที่ผมต้องการมากที่สุด
ผมยิ้มตอบรอยยิ้มนั้น ก่อนที่ปุณณ์จะโอบเอาไหล่ผมให้เดินไปคู่กัน *** 158
เราสองคนขี่มอเตอร์ไซค์ต๊อกต๋อยฝ่าทั้งความมืดและรถยนต์จำนวนมากของนักท่องราตรีกลับมายังหน้ารั้วบ้านหลังใหญ่ (แน่นอนว่าหลบตำรวจเป็นพัก
ๆ ตามเคย) มองเข้าไปเห็นไฟบางห้องยังเปิดอยู่ แม้จะใกล้เวลาเที่ยงคืนเข้าไปแล้วก็ตาม
"มึงบอกใครยังว่าจะกลับบ้านดึก" ผมถามมันระหว่างที่ตบเกียร์หยุดรถจอดหน้าบ้าน
"บอกแล้ว บอกแป้งว่าไปกับมึง.. หึหึ"
"หาเรื่องให้กูจังวะ!" ไอ้ห่านี่นิ่...
ผมปัดขาหมายจะเตะตูดมันที่เพิ่งลงจากมอไซค์ แต่มันเสือกเอี้ยวตัวหลบทันแถมยังหัวเราะหึหึใส่ผมอีก
"เจอกัน ๆ" แต่ก็ช่างเห๊อะ..
ผมโบกมือรํ่าลามัน ก่อนทำท่าจะตบเกียร์มอเตอร์ไซค์ให้ออกตัวต่อ แล้วก็คงขับไปถึงถนนใหญ่แล้ว
ถ้ามันไม่เรียกผมเอาไว้เสียก่อน "โน่........."
"ว่าไง?" ผมหยุดการกระทำพลางหันกลับไป
แต่ไม่ได้ยินคำตอบ นอกจากไอ้ปุณณ์ที่สาวท้าวเข้ามาใกล้ผม.. ผมมองมือมันที่โอบมารอบคอเหมือนพยายามทำอะไรบางอย่าง
"ทำเชี่ยไรวะ!?" "อยู่นิ่ง ๆ น่า...."
มือมันยุกยิก ๆ อยู่แถวคอผมแว่บนึง ก่อนที่ผมจะถึงบางอ้อ เมื่อเห็นสร้อยคอเส้นนั้นถูกถอดออก
"ใส่ของสแตนไม่อายรึไง" มันว่างั้น ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับมันทุกประการ
"เออ อาย ลืมถอด มัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่... ขอบใจหวะที่เตือน"
ผมว่าพลางยื่นมือออกไป หมายจะรับแท็คเหล็กที่ไอ้เอิ้นใส่ให้เมื่อตอนกลางวันคืน
แต่ไอ้ปุณณ์ดันยัดแท็คลงกระเป๋าเสื้อตัวมันเองหน้าตาเฉย... ไอ้ห่านี่
กวนตีน "กูเอาไปคืนเอิ้นให้เอง..." อ้าวว น่าเกลียดว่ะมึง! ผมอ้าปากค้างมองมันอย่างไม่เข้าใจ
159
"กูคืนเอง เอามานี่"
แล้วศึกชิงแท็คก็เกิดขึ้น.. ผมเอื้อมตัวหมายจะคว้าสร้อยคอโลหะจากกระเป๋าเสื้อปุณณ์แต่มันเสือกเบี่ยงหลบผม
แถมยังผลักหัวอีกด้วย หน็อยย ไอ้ห่านี่ ถือว่าสูงกว่าแล้วจะทำอะไรก็ได้รึไงวะะะะะะะ
"มึงอะปฏิเสธคนไม่เป็น เดี๋ยวมันบังคับเข้าหน่อยมึงก็เอามาใส่อีก
กูคืนให้เองดีแล้ว" มันว่าพลางตบกระเป๋าเสื้อปุ ๆ เป็นเชิงว่ายังไงก็ไม่คืนให้ผมแน่...
ซึ่งก็จริงของมัน มาลองคิดอีกที ผมก็ไม่ค่อยสู้คนจริง ๆ ใครบังคับอะไร
ผมยอมตลอด.. ดูตัวอย่างไอ้ปุณณ์สิ ไม่งั้นจะเป็นอย่างนี้เหรอ
"เออ ๆ งั้นฝากด้วย" "แล้วไม่ใช่ใครให้อะไรก็รับไปทั่วอีกล่ะ
โดยเฉพาะไอ้เอิ้นน่ะ" แต่คำพูดแบบนั้นของปุณณ์ ดันสะกิดให้ผมรู้สึกแปลก
ๆ จนได้ว่ะ... เหมือนกับว่ามัน... ไม่พอใจที่ผมรับของจากเอิ้น
มากกว่าไม่พอใจที่ผมรับแท็คเหล็กแสตน ยังไงยังงั้น "ปุณณ์...."
ผมออกเสียงเรียกมันเบา ๆ ให้อีกฝ่ายหันกลับมามองผม "ว่าไง" เสียงปุณณ์ถามอย่างอ่อนโยนจนผมกลืนนํ้าลายฝืดคอ..
"เราไม่ใช่เจ้าของกันหรอกนะ..." แม้กระทั่งตัวผม
ที่เป็นคนพูดออกไปเอง ก็ยังอดรู้สึกจุกแปลก ๆ ในอกไม่ได้.. ประสาอะไรกับคนฟังอย่างปุณณ์..
ที่คงรู้สึกไปไม่น้อยกว่าผมเลย.. แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพูด...
เราต่างต้องเตือนตัวเองบ่อย ๆ จริง ๆ.. ผมบอกตัวเองให้ทำใจให้ชิน
กับสภาพของการไม่มี 'เรา' ปุณณ์คลี่ยิ้มเหงา
ๆ กลับมาให้ผม ก่อนจะสาวเท้ามาใกล้มากขึ้น.. ใบหน้าคมนั้นมองมาพลางยื่นมือลูบแก้มผมอย่างอ่อนโยน
160
"จะให้ปุบปับกูตัดใจเลย... ทำไม่ได้หรอก"
ผมสบตามันพร้อมอมยิ้มให้สัมผัสนั้น อดคิดในใจไม่ได้ว่า ถ้าขอแค่เป็นเพื่อนกันแบบนี้ต่อไป
จะมากเกินไปไหม แต่ยังไม่ทันจะได้ปริปากอะไรออกมา ใบหน้าปุณณ์ที่คุ้นเคยดีก็โน้มมาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจเสียก่อน
ผมเกร็งตัวหลับตาแน่น พร้อม ๆ กับความรู้สึกหยุ่นแต่อบอุ่นที่ประทับลงบนหน้าผากอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะถอนออก ผมเลือกยักคิ้วให้มันข้างหนึ่งกวน ๆ แก้เขิน "ก็ทำได้แค่นี้แหละ หึหึ.." "แค่นี้ก็ยังดีน่า..."
เสียงปุณณ์ตอบว่าอย่างนั้นก่อนจะโบกมือให้ เป็นเครื่องหมายว่ากําลังจะเข้าบ้านไป
"ขี่รถระวัง ๆ นะ" "เออ..
เจอกัน" ผมบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ข้างในตอนนี้คืออะไร..
ผมไม่รู้จริง ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น