แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาไม่ถนัดนัก
เพราะตอนหกโมงเช้าผมเพิ่งตื่นขึ้นมาปิดก่อนรอบนึง.... อืมม แล้วจะพูดทำไมวะ
เรื่องของเรื่องคือละเมอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อกี้นี้แล้วยกนาฬิกาข้อมือดู ปรากฏว่าปาเข้าไปเก้าโมงกว่าแล้วแต่ยังไม่มีใครตื่นซักคน
ผมยกข้อมือข้างที่มีนาฬิกาดูพลางขยี้ตานิดหน่อยก่อนจะปล่อยมือวางไว้ตรงที่เดิม ที่
ๆ มีไอ้ปุณณ์นอนทับอยู่ ผมขยับแขนเพราะความเมื่อยเล็กน้อยแล้วก็ต้องยิ้มออกมา เมื่อเห็นใบหน้ายามหลับของปุณณ์ซุกอยู่กับตัวผมท่าทางสบายเป็นที่สุด
หมั่นเขี้ยวก็ต้องขอซักทีสิครับ! 'ป๊าบบ' "อืมมมมมมมมมมม.. ตบไมวะ!" มันโวยทั้งที่หน้ายังซุกกับอกผม ก่อนจะขืนตัวมาลูบหัวป้อย ๆ ให้ได้ขำสะใจเล่น
"เก้าโมงแล้ว มึงจะนอนให้ถึงวันกลับเลยมะ" แต่ไอ้ปุณณ์ดูท่าทางไม่ตื่นดี มันหลับตาปี๋ขณะฟังผมพูด พลางควานมือหามือถือบนหัวเตียงแต่หาไม่เจอ
ผมเลยยื่นข้อมือตัวเองให้มันดูนาฬิกาเป็นหลักฐานแทน "เก้า....
โมงงงงง" ยํ้าอีกทีเผื่อขี้ตาจะอุดจนดูไม่ออก
มันขมวดคิ้วมองเข็มนาฬิกาบนหน้าปัดดีเซลเล็กน้อย ก่อนจะคว้ามือผมไปซุกนอนที่แก้มอีกครั้ง
"สิบโมงปลุก" "เออ นอนไป กูจะไปหาไรกิน"
ไม่ตื่นก็ไม่ง้อวะ! ผมช่างแม่งแล้วลุกขึ้นหมายจะสะบัดมือออกจากแก้มมันให้พ้น
แต่ไอ้คนง่วงนอนทำไมแรงเสือกเยอะชิบหาย มันเล่นดึงผมพรวดเดียวลงไปนอนเอ้งเม้งบนเตียงเหมือนเดิมซะฉิบ
"ไม่เอา... นอนด้วยกันก่อน สิบโมงค่อยไป"
เสียงปุณณ์อู้อี้อยู่กับหมอนและมือผม 219
"ตลก กูหิวมั่งเหอะ"
"นอนก่อน" "แดกก่อน"
"นอนก่อน" "จะแดก"
"นอน...................." เอ๊ะไอ้ห่านี่
ทำไมบังคับจิตใจกันจังวะ!! (แล้วตกลงชีวิตนี้ผมเคยเถียงชนะใครมั่งมั้ย!?)
ผมขมวดคิ้วใส่มันแต่ก็เห็นตัวปัญหาหลับตาพริ้ม แถมยักคิ้วกวนตีนกลับมาให้อีกต่างหาก
ตกลงมึงตื่นแล้วใช่ปะ... เดี๊ยวพ่อกระทืบไส้แตกคาเตียงซักที!
ปากผมขมุบขมิบด่าไป มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างก็คว้ารีโมทมากดเปิดทีวีฆ่าเวลาไป
ทนอยู่ได้ไม่นาน ท้องเจ้ากรรมก็ดันร้อง 'โครกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก'
เยี่ยมไปเลยครับพี่น้อง! เพราะหลังจากท้องผมร้องประท้วงเสียงดังยิ่งกว่าเจ้าของแล้ว
ปุณณ์ก็ได้ฤกษ์ลืมตาตื่นทันที "มึงหิวขนาดนั้น?"
"เออ" สิ้นคำตอบผมปุ๊บ (แม่งอายจะแย่) มันก็ปล่อยหัวเราะก๊ากปั๊บ (ฝากไว้ก่อนนะมึง) ก่อนจะลุกมานั่งบิดขี้เกียจบนเตียง
"กินก็กินวะ อาบนํ้าแป๊บ" ปุณณ์สรุปโดยไม่ฟังอะไรก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องนํ้าหน้าตาเฉย...
เอ๊ะ!? ไอ้ห่านี่.. แม่งตื่นก็ตื่นหลังกูแท้
ๆ เสือกซิวห้องนํ้าไปก่อนซะงั้น! 220
ผมส่ายหัวปลง ๆ กับความกวนตีนของมันแล้วก็เปลี่ยนช่องจากหนังฝรั่งไปดูช่องเก้าการ์ตูนยามเช้าแก้เซ็ง "โน่ครับ" อ้าววว แล้วอยู่ดี ๆ มึงโผล่หัวออกมาอีกทำไม..
ผมหันไปมองหน้าหล่อ ๆ ของปุณณ์ ที่ตอนนี้ดูเจ้าเล่ห์ไม่น้อย
"ไรของเมิง" ภาษาระดับเดียวกันเห็น ๆ
ครับท่านผู้ชม... ไม่ได้หรอก ผมเป็นคน(หยาบ)เสมอต้นเสมอปลาย สิ่งที่เห็นต่อมาคือไอ้ปุณณ์ยิ้มหวานพลางกวักมือเรียกผมให้ไปหามันหน้าห้องนํ้ายิก
แน่นอนว่าผมโคตรขี้เกียจ แต่ไอ้นั่นไม่มีทีท่าจะยอมแพ้ เลยต้องเดินไปดูซักหน่อยเพราะกลัวมันจะกวักจนมือหัก
"มึงเจอนางเงือกในอ่างรึไง" ผมบ่นอุบอิบพลางลากเข้าขาไปหามัน
โดยไม่ทันตั้งตัวก็ถูกดึงไปกดจูบลงบนจมูกอย่างแรง เชี่ยแม่งง ฟันก็ไม่แปรง!
"morning kiss" มันพูดแค่นั้นแล้วปิดประตูห้องนํ้าปัง!
ไปเลย... ไอ้สัดดด หึหึหึ... ผมหุบยิ้มไม่ได้แล้วตอนนี้ หึหึหึ.... หึหึหึ
"โน่!!!!! ปุณณ์!!!!!!!!! ตื่นเร้ววววววววววววว กินข้าวกัน ๆๆ" แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินผละจากหน้าประตูห้องนํ้าดี
เสียงโหวกเหวกโวยวายของพวกผู้หญิงก็ดังข้ามอีกฝั่งประตูห้องมาเสียก่อน อืมม..
มาได้เวลากันจริง ๆ ผมฟังเสียงยูริใสกิ๊งแต่เช้าแบบนี้ก็อดขำไม่ได้
"ว่าไงสาว ๆ ตื่นเร็วไม่โทรปลุกเลยนะ" เมื่อเปิดประตูห้องออกไป ก็พบทั้งยูริและเอมแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จจนหอมฟุ้งกันแล้ว
ทั้งที่ผมยังใส่ชุดนอน(กางเกงบอล)อยู่เลย
ยูริมองหน้าผมกลับมาแล้วยิ้มแฉ่ง "โน่ตอนเพิ่งตื่นน่ารักจัง
ตาปรือ ปากแดงงงงงง" อื้อหือ... คำชมผู้ชายจริงเหรอนั่น!?
ผมรีบสะบัดหัวให้ตาโตกว่านี้ทันที ส่วนปากนั่นไม่รู้จะเอายังไงกับมันดีเหมือนกัน
221
ได้ยินเสียงปุณณ์อาบนํ้าอยู่แป๊บหนึ่งก่อนที่มันจะเปิดประตูออก
ยื่นแปรงสีฟันที่บีบยาสีฟันแล้วส่งมาให้ผม "คุยกะคนอื่นอยู่ได้ ฟันก็ไม่แปรง"
อ้าวววว แล้วจะให้กูใช้ภาษามือรึไง ผมคิดในใจแต่ก็รับแปรงจากมันแต่โดยดี
สาว ๆ นั่งดูการ์ตูนในห้องเราอย่างสนุกสนานอยู่ครู่หนึ่ง รอทั้งผมและปุณณ์จัดการตัวเองเรียบร้อย
จึงได้ออกไปหาข้าวเช้าทานกัน แต่คงเรียกว่าข้าวเช้าได้ยาก เพราะดูนาฬิกายังไงก็เฉียดสิบเอ็ดโมงกว่าไปแล้วเห็น
ๆ "รอจนเที่ยงค่อยออกมากินข้าวเที่ยงทีเดียวไม่ดีกว่าเร้ออออ"
ผมเปรยลอย ๆ แน่นอนว่าไอ้ปุณณ์หันขวับ "ปากดี
มึงแหละท้องร้องดังจนกูตื่น" "จริงเหรอโน่!!!!!!!"
ประมวลผลไวมากครับยูริ -_-".... คอร์ทูดูโอ้คู่กับไอ้ปุณณ์จริง
ๆ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องเอามาประจานกลางวงสาว ๆ เลยโว๊ยยย เราสี่คนเดินเข้าไปในร้านอาหารของรีสอร์ทที่ราคาแพงระยับ
แต่ก็ขี้เกียจเซ้าซี้ให้ปุณณ์ขับรถออกไปกินไกล ๆ เพราะแดดร้อนอยู่... อืมม... ถ้าไอ้โอมได้มาอ่านถึงตรงนี้มันคงปรี่เข้ามาโบกหัวผม
ด้วยฝังใจว่าคนดีอย่างผมเกรงใจใครไม่เป็น (รักกูจริง ๆ)
แต่ที่แน่ ๆ... เรื่องแบบนั้น ยูริกินขาดกว่าเยอะครับ
"ปุณณ์.......... อยากกินหนมมม"
นั่นไง.. ผมลอบมองเจ้าของเสียงกระง๊องกระแง๊งที่ดังขึ้นทันทีหลังฟาดอาหารเช้าจานโตเสร็จ...
ไงล่ะ บอกแล้วว่าคนสำนึกน้อยกว่าผมยังมี ฮ่า ๆ "จะไปกินที่ไหนครับยู ขามาซื้อตุนตั้งเยอะไม่ใช่รึไง" ผมออกปากถามแทนเพราะเกรงใจปุณณ์ (เกรงใจเป็นจริง ๆ ครับ)
ก็แดดข้างนอกร้อนจะแย่ แต่ยูริกลับพองลมเข้าแก้มจนแก้มป่อง
"หมดแล้ว......" เธอตอบปัดผม พลางเอื้อมมือไปจับแขนปุณณ์อย่างต้องการจะอ้อนต่อ
(เอ๊ะ ตกลงนี่แฟนใครวะ) "น๊าาา ปุณณณณ์ ตอนขามายูเห็นมีห้าง
ไปซื้อหนมกันน้าาา อยู่รีสอร์ทตอนบ่ายก็ไม่ได้ทำอะไร น๊าาาาา..." ผมแอบขำ เจอแบบนี้ไปเป็นไงล่ะมึง เข้าใจหัวอกกูยัง หึหึ 222
"ไปสิครับ เอมเดินไหวรึเปล่า"
เออ แต่ผมเกือบลืมว่าไอ้ปุณณ์มันบ้าจี้ แถมยังชอบทำตัวเป็นคนดีเกินเหตุอีกต่างหาก
พอสิ้นคำนั้น ยูริก็หันมายิ้มตาปิดเย้ยผมอย่างผู้ชนะทันที... เอาใจกันเข้าไปเถ๊อะ! "ไม่รู้สิ... เอม.. อยากพัก" แต่เพราะเสียงหญิงสาวข้าง
ๆ ปุณณ์ที่อ้อมแอ้มตอบ ส่งผลให้ยูริต้องหน้าหงอย "ว้า....."
ถึงคราวผมยักคิ้วเย้ยยูริแล้วตอนนี้ หึหึ อด "แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยูไปกับปุณณ์ก็ได้ เอมจะรออยู่ที่นี่แหละ"
เอ.... แต่ผมว่าฟังประโยคนี้ของเอมแล้วมันดูแปลก
ๆ ยูริรีบพยักหน้ารับอย่างแข็งขันทันที "งั้นยูไปกับปุณณ์นะ
แล้วเอมอยู่กับโน่ที่นี้... โน่ก็ขี้เกียจไปใช่ปะล่ะ?"
อ่า.... เอ่อ.... "โอเค
ตามนี้... พี่เก็บตัง!" ผมถูกยูริมัดมือชกอีกแล้วครับคุณผู้อ่าน
Y____Y *** หลังจากสองคนนั้นขับรถออกไปยังตัวเมือง ก็เหลือเพียงผมกับเอมที่ต้องนั่งจุ้มปุ้กกันอยู่ในห้องสองคน...
ผมมาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่ห้องผู้หญิงครับ บทสนทนาระหว่างเราไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
เน้นเปิดทีวีดูกันมากกว่า ผมเป็นฝ่ายถือรีโมทเปลี่ยนช่องอยู่ปลายเตียง ส่วนเอมกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่หัวเตียง..
อันที่จริงแล้วคือความตั้งใจของผมเองที่จะรักษาระยะห่างระหว่างเราสองคน
"โน่คบกับยูมานานรึยังคะ" แต่อยู่ดี
ๆ เธอก็ถามผมด้วยคำนี้ ทำเอาผมอึ้งไป.... นานยังวะ?
"มะ... ไม่รู้สิครับ" 223
"กี่เดือนแล้วล่ะ ถึงปีรึยัง"
อืม.... ผมพยายามคิดต่อว่าเรารู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน...
คอนเสิร์ตที่คอนแวนต์คราวก่อนราวเดือน มิถุนายน.... แล้วยูริเอาผมไปพูดว่าเป็นแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะนั่น... จำไม่ได้จริง ๆ -_-" "ไม่ถึงหรอกครับ...
จำไม่ได้เหมือนกัน แหะ ๆๆ" ผมตอบพลางหัวเราะแก้เก้อ
ไม่ได้หันไปมองด้วยซํ้าว่าเอมทำหน้ายังไง "โน่นี่ก็น่ารักเนอะ..
ยูริโชคดีจัง" เอ.......... ผมคิดว่าฟังประโยคนี้แล้วมันรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือเอาไว้ก่อน
"เพื่อนผมมันหล่อไม่พอรึไงครับเอม ฮ่า ๆๆ" มาถึงตรงนี้ผมรู้สึกได้ถึงแรงยวบของเตียง ว่ามีคนคลานเข้ามาใกล้จากด้านหลัง
"หล่อคนละแบบน่า... โน่ดูหล่อแบบน่ารัก ๆ
ดี" คำชมปะวะนั่น...? ผมไม่ค่อยแน่ใจ
เพราะรู้แต่ว่า พอหันไปมองก็เห็นเอมกําลังคลานเข้ามาใกล้ จนตัวผมต้องแข็งทื่อ..
แน่นอนว่าผมแกล้งทำเป็นหันหน้ามองทีวีเหมือนไม่สนใจ ทั้งที่ความคิดฟุ้งซ่านปั่นป่วนไปหมด..
คำพูดของกอล์ฟที่เคยบอกว่าเอมเริ่มก่อน วิ่งกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง
ทั้งที่พยายามลืมแล้วแท้ ๆ เชียว แต่เอมไม่ได้เข้ามาใกล้ผมมากกว่านั้น เธอแค่ผ่านเพื่อลงจากเตียงแล้วเดินไปหยิบที่รวมผมมาเก็บผมยาวสลวยให้ขึ้นไปรวมกันแทน
เอมหันมามองหน้าผมยิ้ม ๆ "รู้รึเปล่าว่าตอนโน่มาเล่นคอนเสิร์ตที่โรงเรียนเอมเมื่อกลางปี
สาว ๆ กรี๊ดกันมากเลย... เอมก็ชอบ" ผมถอนหายใจพลางพยักหน้ายิ้มรับคำพูดนั้นของเอม เพราะถ้ามองในแง่ดีแล้วเอมก็แค่ชวนผมคุยเท่านั้น
ไม่ยุติธรรมเลยหากผมจะระแวงด้วยความคิดอคติ รอยยิ้มเอมสวยจนผมเคลิ้มไปพักหนึ่ง
"ถ้ารู้ว่าปุณณ์สนิทกับโน่ เอมก็ชวนไปเที่ยวด้วยกันบ่อย ๆ แล้ว"
"ไม่ดีหรอกครับ เป็นก้างแย่" "ไม่หรอกกก
โน่น่ารักขนาดนี้... นี่ ๆๆ มาใส่สร้อยให้เอมหน่อยสิคะ มองไม่เห็นล่ะ"
แต่ผมว่าเอมชักจะชมผมว่าน่ารักเกินพอดีละ (เป็นผู้ชายก็ต้องอยากได้ยินคำว่า
หล่อ เป็นธรรมดา) ผมคิดอย่างนั้นแต่ก็เดินไปเป็นธุระช่วยใส่สร้อยให้เอม
ใช้เวลาแค่แป๊บเดียว ตะขอสร้อยเส้นนั้นก็ถูกเกี่ยวจนเข้าที่ แต่เมื่อมันสำเร็จปุ๊บ
เอม224
ก็หันมาขอบคุณปั๊บ โดยไม่ปล่อยให้ผมทันถอยออกไปไหนดี "ขอบคุณค่ะ" เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ใบหน้าเราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
ผมรู้สึกตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว แถมผู้หญิงตรงหน้ายังคลี่ยิ้มหวานเฉียบเหมือนคนไม่ทุกข์ร้อนอะไรอีก
สุดท้ายจึงกลายเป็นผมที่งงเอง ว่าตกลงเราควรถอยออกมาแน่หรือเปล่า "ปากโน่แดงจัง... ขอจับหน่อยนะ" เอมยิ้มพลางเอี้ยวตัวมาสัมผัสริมฝีปากผมด้วยปลายนิ้ว ผมมองเข้าไปในดวงตาสวยคู่นั้นที่ดูราวกับท้าทายอะไรบางอย่าง
ที่แน่ ๆ ผมไม่เล่นด้วย... "ออกไปเดินเล่นตรงหาดกันมั้ยครับ"
ผมเบือนหน้าหนีพลางพยายามชวนเอมให้ออกไปที่อื่น เพราะคงไม่ดีแน่หากเรายังอยู่ด้วยกันสองต่อสอง
แต่ไม่ว่ายังไงผมก็แพ้ทางเอมอยู่ดี ตราบใดที่เธอพูดคำว่า "ไม่อะค่ะ... ยังเจ็บขาอยู่เลย" รอยยิ้มที่ส่งมาทางผมดูเป็นรอยยิ้มของผู้ถือไพ่เหนือกว่า ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีชมพูหวานยังขยับพูดกับผมต่อ
"ยูริคงเลือกขนมอีกนานแหละ กว่าจะกลับ" "ครับ..." เป็นเพราะทุกอย่างในเวลานั้นล้วนทำเอาผมสับสนไปหมด
สติอันรางเลือนของผมกําลังฉายภาพในคลิปวีดีโอนั้นซํ้าไปซํ้ามา จวบจนเบื้องหน้าเมื่อเห็นเอมกําลังถอดเสื้อยืดสีขาวบนตัวเองออก
จึงเรียกให้ผมเห็นความจริงเด่นชัดยิ่งกว่าคลิปวีดีโอของกอล์ฟเสียอีก... ผมยืนตะลึงมองภาพนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ ตรงหน้าผมคือแฟนเพื่อนที่มีเพียงบราลูกไม้สีขาวบนร่างกาย
กับสร้อยคอ "เอมจะทำอะไรครับ..." นี่ไม่ใช่ประโยคคำถามแต่เป็นเหมือนคำพูดเตือนสติผู้หญิงตรงหน้ามากกว่าว่าเธอไม่ควรทำ...
แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมา มีเพียงรอยยิ้มท้าทาย 225
"ถ้าโน่ไม่รังเกียจ เอมก็อยากจะเจอกับโน่แบบสองคนบ่อย
ๆ"
ร่างกายบอบบางนั้นสาวเท้ามาประชิดตัวผม ก่อนจะจับมือผมให้เอื้อมไปด้านหลัง
บริเวณตะขอชั้นใน "ได้ไหม..." ผมรู้ดี ว่านี่ไม่ใช่การลองใจเล่น ๆ แบบยูริ.. ผมเป็นผู้ชาย...
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าทั้งล่อแหลมและยั่วยวนพฤติกรรมดิบของผมแค่ไหน
กลิ่นกายหอมฟุ้งของเอมแนบเข้ามาจดจ่อชิดอยู่ติดกับตัวผม เช่นเดียวกับผิวขาวเรียบเนียนนั้น
ที่หยิบยื่นสัมผัสวาบหวามให้ ทั้งหมดถือเป็นเครื่องมือเย้ายวนชั้นยอดจริง ๆ เอมซุกเข้าพรมริมฝีปากทั่วต้นคอผม
เรื่อยเลยมาถึงใบหู ขณะที่แผ่นอกภายใต้เสื้อยืดของผม ก็ถูกรุกรานอย่างหนักเช่นเดียวกัน
ในที่สุดร่างกายก็แทบไม่ฟังคำสั่ง เมื่อเสียงเอมที่พรํ่าบอกว่าต้องการผมยังคงดังอยู่ข้างหูไม่ไปไหน
ราวกับเธออยากสะกดจิต ซึ่งอาจได้ผล เพราะฝ่ามือร้อนของผมเริ่มป่ายเรื่อยไปทั่วแผ่นหลังบางตรงหน้านั้น
จวบจนถึงตะขอเสื้อใน... แต่นี่มันแฟนเพื่อน! แถมเพื่อนคนนั้นคือปุณณ์! ปุณณ์ที่เป็นมากกว่าเพื่อนของผม!
"เอม!!!!!!!!!!!!" ผมไม่ปล่อยให้ทุกอย่างบงการความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป
เสียงเรียกอันดังทำให้เจ้าของชื่อนั้นสะดุ้งได้นิดหน่อย แต่ก็ยังคงไม่หยุดรุกรานร่างกายผมอยู่ดี
"โน่ก็มีอารมณ์แล้วนี่คะ..." 226
"เอมครับ!!!!" ผมใช้ฝ่ามือแข็งดันเอมออกไปจนสุดแขน
ถึงแม้จริง ๆ จะไม่อยากทำแบบนั้น เพราะแค่มองสีหน้าก็พอรู้ว่าแรงผู้ชายทำให้เธอเจ็บ
แต่ผมเหลือเพียงวิธีเดียวที่จะหักห้ามใจตัวเองจริง ๆ ผมสูดลมหายใจลึกก่อนจะคว้าเอาผ้าเช็ดตัวที่พาดเก้าอี้อยู่มาคลุมร่างเอม
"ผมอยู่ห้องข้าง ๆ มีอะไรไปเคาะเรียกได้นะ พักผ่อนเถอะ!"
เพราะไม่มีคำพูดใดอยากต่อว่าเธอทั้งนั้น ผมจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้อยู่ในสภาพเดิม
ก่อนจะเป็นฝ่ายเปิดประตูห้องออกไป อันที่จริงแล้ว.. ผมไม่เหลือคำพูดอะไรจะพูดกับเธอ..
คนเดียวที่อยู่ในความคิดตอนนี้คือปุณณ์เท่านั้น เรื่องที่กอล์ฟพูดทั้งหมดเป็นความจริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น