ไอ้ปุณณ์ขับรถเร็วก็จริงอยู่
แต่กว่าเราทั้งคู่จะเห็นทะเลบางแสนก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว ผมกับมัน113
ตัดสินใจจอดรถเข้าข้างทางเพื่อหามื้อดึกกินกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เนื่องจากเห็นว่าพวกนักศึกษาแถวนั้นแวะจอดรถอุดหนุนกันเยอะแยะ "คนเยอะสงสัยจะอร่อย" นี่คือคำพูดของไอ้สารถี ที่ทำเอาผมยิ้มแป้น
เพราะแสดงให้เห็นว่าตรรกะร้านไหนคนเยอะแสดงว่าร้านนั้นอร่อยไม่ได้มีคนคิดแค่ผมคนเดียว
หึหึหึ.. ต้องเอากลับไปเย้ยไอ้โอมซักหน่อยแล้วว (มันด่าผมเพี้ยนประจำเวลาผมพูดงี้ครับ ผิดตรงไหนเนี่ย) ปุณณ์ดับเครื่องยนต์ลงแล้วเอื้อมมือมาจัดเสื้อกันหนาวผมให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเปิดประตูรถ
และแล้วการปรากฏตัวของเราสองคนก็ดูยิ่งใหญ่ขึ้นทันใด เมื่อทันทีที่ก้าวขาเข้าร้าน ก็ถูกจับตามองเป็นตาเดียว
คงเพราะชุดนักเรียนโชว์ตัวอักษรย่อโรงเรียนซะหรา ประกอบกับกางเกงนักเรียนสีนํ้าเงินของผมทำให้ทุกคนในร้านสะดุดตามากกว่าชุดอื่น
ๆ... หรือถ้าลองคิดดูดี ๆ อีกทาง.. ไอ้คนที่มากับผมมันหล่อเกินไป
-_-"............... สรุปว่าคงจะสองอย่างรวมกันครับ คนนึงหล่อ คนนึงชุดนักเรียนมัธยม
ผสม ๆ ปนกันเข้าเลยกลายเป็นจุดเด่นในที่สุด แน่นอนว่าผมล่ะเกร็งแทบแย่ กับสภาพที่ต้องแวดล้อมด้วยสายตาจากคนแปลกหน้าอย่างนี้
ในขณะที่ปุณณ์ดูสบายดี จนผมดูไม่ออกด้วยซํ้าว่ามันรู้ตัวรึเปล่าว่ากําลังถูกรุมมองด้วยสายตาจากคนทั้งร้านพุ่งมาที่เราสองคนเป็นทางเดียว
-__-" เออ ช่างแม่ง.. อย่าสนใจดีกว่า
-_-" หลังจากที่ปล่อยให้ปุณณ์และผมยืนหมุนกันไปมาในร้าน เพราะหาที่นั่งไม่เจออยู่สักครู่แล้ว
ก็มีบริกรหญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งเข้ามาเชื้อเชิญหาที่นั่งให้พวกเราในที่สุด..
ผมล้มตัวลงกับเก้าอี้แล้วก็ยังงง ๆ ว่าบรรยากาศในร้านนี้ให้อารมณ์แบบไหนกันแน่
ระหว่างร้านข้าวหรือร้านเหล้า เพราะผมเห็นบางโต๊ะก็มีแต่ข้าวไม่มีเหล้า ส่วนบางโต๊ะก็มีแต่เหล้าไม่มีข้าว
(อะไรเนี่ย) แล้วก็อดสงสัยอีกไม่ได้ว่า ที่ใส่ชุดนักเรียนมานั่ง114
หน้าตาหรอหราในสถานที่แบบนี้นั้น
จะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอออ แต่โต๊ะข้าง ๆ ผมที่นั่งกดเบียร์กันทั้งที่ใส่ชุดนักศึกษาอยู่สลอน
คือคำตอบ
-_-".... โดยไม่ปล่อยให้ผมได้คิดอะไรเพ้อเจ้อนาน เสียงคนสั่งกับข้าวก็ดังขึ้นไม่ไกลจากตัวผมเสียก่อน
"เอา...... ยำหนังหมู ลาบ เอ็นข้อไก่ทอด ข้าวเกรียบพริกเผา
แล้วก็ไฮเนเก้น 1 ทาวเวอร์" ไอ้สัด.......
กูว่าแล้วเมนูมันแปลก ๆ.. ผมรีบเอื้อมมือไปโบกหัวไอ้นักเรียนดีเด่นทันที
"กูหิวข้าวมั่งเหอะ สัด!" "อ้าววว
ยังไม่กินมาอีก!?" "เออ....." ก็จะเอาเวลาที่ไหนไปกินล่ะวะ ตอนเย็นผมมัวแต่นั่งคุยกับยูริเรื่องมันน่ะแหละ
กว่าจะกลับถึงบ้านก็เล่นเอาเซ็ง เซ็งแล้วยังต้องเดินเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าเพื่อแบกไปจนถึงบ้านมันนั่นอีก!
จากตอนแรกกะว่าอยากแค่ไปนอนค้างด้วยเฉย ๆ แต่ดันเสือกโดนเจ้าของบ้านยิงยาวมาไกลถึงนี่....
ดวงเดินทางดีชิบหาย "สั่งสิ อะ.."
เสียงไอ้ปุณณ์บอกพลางยื่นเมนูส่งมาทางผม ทั้งที่มันไม่ได้เปิดเลยสักนิดตอนที่สั่ง
สรุปว่าจะเอาไปยึดไว้แต่แรกทำห่าอะไร ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน... ผมเกาหัวตัวเองแกรก ๆ พลางเปิดเมนูเพียงสองวินาทีแล้วปิดฉับ "เอาข้าวผัด... แค่นั้นแหละ" "กินไรไม่สร้างสรรค์เลยว่ะโน่" ไอ้ห่านั่นยังมีหน้ามาบ่น
เป็นเพราะใครล่ะวะ "ก็มึงเสือกสั่งเบียร์ จะให้กูแดกไร ไอ้นี่มันเข้าสุดแล้ว....
เอาตามนี้แหละพี่" ผมว่าพลางยื่นหนังสือเมนูคืนกลับไป
บวกกับรอยยิ้มแค่นิดหน่อยก็มากพอจะทำให้พี่สาวคนสวยที่รับออเดอร์ถึงกับเคลิ้มได้แล้ว
หึหึ.. บางทีผู้ชายเราก็ต้องหัดบริหารเสน่ห์ตัวเองกันบ้างง
"ทำเป็นยิ้ม... ตั้งใจยั่วรึไง"
อ้าวไอ้นี่.. หาเรื่องไรอีกวะ!! "ยั่วห่าไร... หิวชิบหาย ใครจะกินอิ่มมีสุขเหมือนมึงล่ะ"
115
"แน่น้อน...." ฮึ่ม...
ตอนยังไม่สนิทกันมันกวนตีนน้อยกว่านี้ใช่ปะคับ... แม่ง.. ไม่น่าเลยกู ผมทำหน้าเซ็งพลางใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะตามดนตรีที่วงของร้านเล่นอยู่
ร้านนี้มีวงดนตรีสดเล่นด้วยครับ แนวเพลงเป็นแบบฟังสบาย ๆ ตามประสาวงเล็ก ๆ ทั่วไป นับได้อยู่
5 คน ผมเห็นแล้วโคตรคันไม้คันมืออยากจะขึ้นไปแจมด้วยเลยครับ...
แต่เออ พูดถึงเรื่องวงดนตรีแล้วนึกออก "เมื่อตอนเที่ยงกูไปส่งโครงการงานคริสมาสต์ที่สภาฯมา
ไม่เห็นเจอมึง" "เอ๋า... ผมไม่ใช่ยามเฝ้าห้องสภาฯนี่หว่า..
เที่ยงก็ไปหาข้าวกินสิครับ!" สรุปว่าที่ผมถามเมื่อกี้กลายเป็นคำถามโง่
ๆ ไปซะงั้น แม่ง.. อารมณ์เสียว่ะ... ไม่มีอารมณ์จะเถียงกับมันแล้วด้วย
คนยิ่งหิว ๆ อยู่ ผมเบ้ปากพลางแค่นหัวเราะ "เหอะ ๆ....
แล้วกับข้าวคอนแวนต์อร่อยไหมล่ะคุณปุณณ์..." ตั้งใจจะพูดประชดสะเปะสะปะไปงั้น.. แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะสะอึกไปจริง
ๆ "ก็ดี......." ปุณณ์ตอบผมสั้น
ๆ ก่อนจะเงียบเสียงไป นำให้คิ้วทั้งสองข้างของผมเลิกขึ้นสูงอย่างใช้ความคิด...
เอมคงจะรู้เรื่องนั้นเมื่อตอนบ่ายที่ปุณณ์ออกไปกินข้าวด้วยสินะ
"กูเจอน้องมึงที่คอนแวนต์ด้วย... ไอ้ตี๋น่ะ"
เสียงไอ้ปุณณ์เริ่มชวนคุยต่อพลางเอื้อมรับเมนูแรกที่เป็นยำหนังหมูจากพี่พนักงานเสิร์ฟคนนั้นมาด้วย
กลิ่นเปรี้ยวจากมะนาวโชยผ่านเตะจมูกผมทำเอานํ้าลายสอเพราะตอนนี้กําลังเริ่มหิวจัด ผมยกส้อมขึ้นหมายจะจิ้มหนังหมูพลางพูดต่อ
"เออ ไอ้เป้อมันฝากท้องไว้กับสาวแถวนั้นประจำแหละ"
แต่เพราะพูดไปตักไปความเร็วมือเลยช้ากว่าไอ้แสบปุณณ์ที่ดันเสือกจงใจเขี่ยชิ้นที่ผมหมายปองไว้ได้
แล้วเอาขึ้นไปจิ้มเข้าปากมันเองเสร็จสรรพ "สัด..."
ขอด่าหน่อยเหอะ "เออ ก็อยากจะบอกเหมือนกันว่าเจอทุกครั้งที่ไป
ฮ่า ๆ" มันว่าพลางเคี้ยวชิ้นที่ควรจะเป็นของผมตุ้ย ๆ แต่รอไม่นานนักกับข้าวจานอื่นก็ทยอยเข้ามาพร้อม
ๆ กับทาวเวอร์เบียร์ที่ปุณณ์สั่ง "เด็กชมรมกูก็ต้องเนื้อหอม116
เหมือนประธานชมรมมันเป็นธรรมดา" ผมได้ทีเกทับมัน จนมันต้องส่งเสียงหัวเราะหึหึกลับมา "แต่ไม่เท่ากูหรอกมั้ง.." อืมม กล้าพูดดดนะไอ้ปุณณณ์
ผมเหลือบตามองมันพลางยักคิ้วข้างนึงล้อ ๆ "กูก็ว่า....
พี่สาวโต๊ะข้างหลังจะแดกมึงอยู่แล้วหวะ" เพราะผมเห็นมาตั้งนานแล้วว่านักศึกษาสาวโต๊ะข้าง
ๆ จ้องเพื่อนผมตาเป็นมัน แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจซะเพราะแบบนั้นคงปลอดภัยมากกว่า
"ข้างหลังมึงก็จะแดกมึงว่ะ..." ไอ้ปุณณ์โต้กลับมายิ้ม
ๆ แต่ผมว่าไม่ต้องพูดจะดีกว่านะ เหอะ ๆๆ ผมยักไหล่ไม่สนใจคำพูดมันก่อนจะยื่นกดเบียร์ใส่แก้วตัวเองจากหลอดสูงเพื่อล้างปากก่อนหน่อยซักยกหนึ่ง
ฟองเบียร์ที่เริ่มฟูปีนขอบแก้วทำให้ผมต้องยกมาดื่มเพื่อกันไม่ให้หก ก่อนจะรู้สึกเศร้าหนึบ
ๆ ตรงอกข้างซ้ายขึ้นมาแปลก ๆ... ผมไม่เคยชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย..
มันเหมือนมีอะไรมาติดถ่วงเอาไว้ ให้ผมหัวเราะไม่ออก ยิ้มได้ไม่เต็มที่..
แม้ว่าจะพยายามพูดจากวนตีนปุณณ์มั่ง ด่าปุณณ์มั่ง ให้ดูเหมือนคนปกติทุกอย่าง
แต่ในใจลึก ๆ จริง ๆ แล้ว ทั้งหมดที่ผมทำออกไปเป็นเพียงแค่หน้ากากที่ถูกสร้างขึ้นมาบดบังความเศร้าไว้เท่านั้น..
ผมปิดมันไว้ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่ายังไงก็ไม่มีทางหนีไปไหนได้ แต่อย่างน้อย
ๆ ขอแค่ในเวลานี้ ผมได้หลอกตัวเองว่าผมยังสบายดีก็พอ บทสนทนาบนโต๊ะเราเงียบลงเมื่อปุณณ์เพียงนั่งจิบเบียร์อยู่เงียบ
ๆ ไม่ได้กวนประสาทอะไรต่ออีก... ผมลอบมองดวงตาคมคู่นั้นที่ดูทั้งหม่นหมองและเหม่อลอยพิกล
จนบางทีก็อยากจะรู้ว่าเจ้าของดวงตาคู่นั้นกําลังคิดอะไรอยู่ ผมไพล่นึกไปถึงจูบของปุณณ์บนรถที่ดูทั้งหงอยเหงาและเว้าวอนเหลือเกิน..
ไม่รู้เป็นแค่ผมที่คิดมากไปเองหรือเปล่าว่าอีกฝ่ายก็ดูมีเรื่องในใจมากมายไม่แพ้กัน
117
ทำนองเศร้าของเพลง thank you ดังคลอระหว่างผมยกเบียร์ขึ้นกระดกแก้วแล้วแก้วเล่า จนดูผ่าน ๆ เหมือนกับลุงแก่ที่โดนเจ้านายหักเงินเดือน
เลยแวะมาดื่มย้อมใจยังไงยังงั้น (พบเห็นได้บ่อย ๆ ตามลานเบียร์)
ซึ่งไอ้ปุณณ์ก็คงสังเกตเห็นพฤติกรรมนั้นอยู่เหมือนกันถึงได้คว้าข้อมือผมเอาไว้ทันก่อนจะซดแก้วที่ห้าลงคอแบบ
non-stop hits "เฮ้ย!! ท้องว่างไม่ใช่รึไง!
ดื่มแบบนั้นกระเพาะแหกพอดี" เป็นไปตามคาด..
มันโวยใส่ผมพลางยึดแก้วเบียร์ไปจากมือโดยละม่อม.. หึหึ.. ได้ข่าวว่ามึงเป็นคนสั่งมาเองแท้ ๆ แต่พอกูจะกินเสือกห้าม
หึหึ.. ไอ้เวร.. ผมยักไหล่ด้วยท่าทางกวนตีนที่สุดกลับไปหามัน
แล้วคว้าแก้วนํ้าเปล่ามาดื่มตามเพื่อล้างคอ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับข้าวผัดชามใหญ่
ขณะที่ปุณณ์ก็แลดูมีความสุขดีกับเอ็นข้อไก่ทอด "วันนี้ยูริบุกมาหากูถึงโรงเรียน
ตกใจหมดเลย" ผมเริ่มพูดทำลายความเงียบบนโต๊ะ (ที่มีแต่เสียงเพลงจากวงดนตรี) จนแอบเห็นมันสะดุ้งนิดหน่อย
น่าสงสัยว่าอีกฝ่ายคงกําลังเหม่ออยู่ นัยน์ตาของปุณณ์วูบไหวไปครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ริมฝีปากยิ้มกลับมาเหมือนเคย
"เหรอ... เออ เป็นไงอะ"
"มึงออกกฏปราบเกรียนโรงเรียนเรามั่งเด่ะวะ! เห็นผู้หญิงขาว ๆ ญี่ปุ่นหน่อยเป็นไม่ได้... กูโผล่ไปหายูริช้ากว่านั้นหน่อยน่ากลัวจะโดนลากเข้าข้างทางว่ะ"
ผมบ่นเป็นชุดไปพลางพุ้ยข้าวในแก้มไปพลาง ได้ยินเสียงหัวเราะของไอ้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแว่วดังมาเป็นระยะ
ๆ "ด่าคนอื่นเค้าเกรียน.. หัวมึงขนเยอะตายล่ะ"
อ้าวไอ้สาดดดดด ด่ากูไม่ว่าแต่เสือกตบเหม่งด้วยนี่มีเฮ แน่นอนว่าผมปัดมือมันทิ้ง
"ของกูเค้าเรียกสกินเฮดเว้ย สาดดด" "มึงเมายาคุมเหรอ สกินเฮดพ่อมึงสิเป็นงี้... แล้วอยู่ดี
ๆ พูดเรื่องยูริทำไม" นั่นสิวะ.. ผมพูดทำไม..
ไม่อยากบอกเลยว่าจริง ๆ ที่ยูริมาก็เกี่ยวกับมึงทั้งนั้นนั่นแหละ
"ไม่รู้ว่ะ แล้วมึงกับเอมเป็นไงมั่ง..." ทางที่ดีต้องรีบปัดออกให้พ้นตัวจะฉลาดกว่า.. จริง ๆ แล้วผมไม่ได้118
ตั้งใจถามกินนัยอะไรปุณณ์มากมาย
แต่ดูเหมือนมันสะอึกอุก
"ก็ไม่เป็นไง..........." เสียงเบา ๆ
ของปุณณ์ตอบมาว่าอย่างนั้น ก่อนที่มันจะเว้นระยะคำพูดต่อไปอยู่พักหนึ่ง...
"ยังสวยหล่อเหมือนเคย" หื้ม ไอ้สาดดดดดดดดดดดด
กูจะเริ่มเกลียดมึงก็ตอนนี้แหละ ผมไม่รู้จะด่ามันต่อว่าอะไรดี (เสือกจะเป็นความจริงอีก) เลยแกล้งทำเป็นสำลักข้าว ยกนํ้า(เปล่า)มาซด แล้วชูนิ้วกลางให้มันดูเป็นขวัญตาอย่างนั้น
เหอะ ๆ เห็นมันหัวเราะตาหยียกใหญ่เหมือนกําลังถูกใจแล้วก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้หนักขึ้นกว่าเดิม
เดี๋ยวพ่อเอาจิ้มตาแม่งเลย ผมวางแก้วที่นํ้าหมดเกลี้ยงในมือลงก่อนจะหยิบช้อนส้อมเพื่อโซ้ยต่อ
แต่แล้วกลับมีคำพูดหนึ่งหลุดออกมาจากปากของผมเอง "ก็ดี...
กูล่ะกลัวใจมึงจะได้หลังแล้วลืมหน้า ฮ่า ๆๆๆ" หัวเราะครับ... ผมหัวเราะ... ทั้ง
ๆ ที่แม่งไม่ได้น่าขำสักเท่าไหร่..... เอาจริง ๆ คือผมไม่ขำเลย
สิ่งที่ทำได้มีเพียงส่งเสียงหัวเราะฮ่า ๆ ส่งเดชไป ทั้งที่ในใจรู้สึกแปลบไปหมดเหมือนมีมีดพันเล่มปักอยู่ตามขั้วหัวใจ
ยิ่งผมหัวเราะดังเท่าไหร่ ก็แสดงว่าผมสมเพชตัวเองมากเท่านั้น... แค่นั้นเอง "หึหึ......" ปุณณ์แค่นหัวเราะตามผมก่อนจะเอี้ยวตัวไปกดเบียร์เพิ่มแก่แก้วมันที่พร่องลงไปเยอะแล้ว
แต่ดวงตาคมคู่นั้นกลับไม่แสดงความรู้สึกอะไรขณะที่พูดคำต่อมา "ไม่หรอก..." 119
ผมรู้สึกเจ็บปลาบตั้งแต่ปลายเท้าลามถึงหัวใจเมื่อได้ยินคำตอบนั้น
ก่อนจะยักคิ้วข้างหนึ่งอย่างคนที่ยอมรับมัน.. ก็บอกแล้วว่าที่เฮงซวยน่ะ...
ตัวผมเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น