วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Love Sick 8th

ผมตื่นมาตอนเช้าพร้อมกับรอยแดงที่แขนเล็กน้อย... สงสัยจะเป็นเพราะแชมพูล้างรถเมื่อวานว่ะครับ แม่ง.. เอามาราดกูอยู่ได้ไอ้เวรปุณณ์ กวนตีนนัก... แขนขาว ๆ ของผมตอนนี้เลยมีรอยแดงเป็นปื้น ๆ เลย หมดหล่อพอดีครับ... ล้อเล่นน่ะ... เป็นแค่รอยนิดเดียวเองต่างหาก =p ของแค่นี้จิ๊บจ๊อยสบายมาก ไม่สะเทือนความหล่อของผมหรอก ฮ่า ๆ... เดี๋ยวนะ แว่ว ๆ ใครตะโกนมาว่าผมหนังหนา เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยครับ!!
พูดถึงไอ้ปุณณ์แล้วนึกออกเลยว่าเมื่อวานผมลืมนาฬิกาทิ้งไว้บ้านมัน (ถอดตอนล้างรถน่ะครับ กลัวน้องดีเซลจะจมนํ้าตาย) เดี๋ยวต้องโทรไปเตือนมันอย่าลืมเอามาให้ซักหน่อย ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายตายเอง เพราะตั๋วแปะผมเป็นคนซื้อมาฝากจากออสเตรเลีย คิดได้ดังนั้นผมก็กดมือถือโทรออกหามันทันที กดอยู่ประมาณสองครั้งครับ กว่ามันจะรับ อดคิดไม่ได้ว่าหรือมันจะไปถึงโรงเรียนเรียบร้อยแล้วเลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ แต่.... เออ! มันรับสายแล้ว!! "อืม... ว่าไงโน่..." เวรกรรม... ผมได้ยินปลายสายเสียงงัวเงียขนาดนี้แล้วเซ็งแดกว่ะ อย่าบอกว่ายังไม่ตื่นนะโว๊ย!!!! เจ็ดโมงกว่าแล้วมึง!!! "ไม่ไปเรียนรึไง นอนอยู่ได้" มันโดนผมประชดใส่ทางสายโทรศัพท์ แต่ยังมีหน้ามาหาวให้ฟังอีกแน่ะ! "เออ... ไม่ไปว่ะ โน่มีไรปะ" เฮ้ย!?! "มีสิวะ นาฬิกาข้อมือกูอยู่กะมึง" "อ๋อ อืม.. ผมเก็บไว้ให้แล้ว แต่เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันนะ วันนี้คงไม่ไปเรียนอะ" "เออ... ไม่เป็นไร... แล้วทำไมไม่ไปเรียนวะ" ดูเหมือนเสือก ๆ แต่ผมอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ เลขานุการสภานักเรียนดีเด่นอย่างนายปุณณ์ หยุดเรียนเป็นกับเขาด้วยเหรอวะ!? ยิ่งช่วงใกล้ ๆ งานบอลที่โคตรวุ่นวายแบบนี้อีก ฟังดูไม่น่าเชื่อแหะ เสียงปลายสายเหมือนจะอึกอักนิดหน่อยจนผมผิดสังเกต (หรือคิดไปเองหว่า) แต่มันก็สรรหาคำตอบ
มาบอกผมได้ในที่สุด "ไม่ค่อยสบายตัวน่ะ.. อื้อ... เอาไว้ค่อยคุยกันนะ ตอนนี้ผมง่วงมากเลย" "เออ ๆ" ผมตอบกลับไปอย่างนั้นแล้วกดวางสาย ทั้งที่ยังรู้สึกข้องใจไม่หาย.. ไม่สบายตัวงั้นเหรอ.... *** ไอโฟนในมือผมบอกเวลาแปดโมงกว่า ขณะที่มาหยุดยืนหน้าบ้านหลังใหญ่....... นี่ผมเสนอหน้ามาบ้านหลังนี้เป็นวันที่ 3 ติด ๆ กันแล้วนะ อะไรจะเป็นแฟนพันธุ์แท้บ้านภูมิพัฒน์ขนาดนั้นวะ -_-" ตกลงเอาไงดี.. กดออดดีไหม... ผมคิดพลางเดินวนกลับไปกลับมาหน้ารั้วอัลลอยด์สีเงินตระหง่านที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ทำไงดีวะ แปดโมงกว่าแล้วด้วย ผมแค่อยากรู้ว่ามันป่วยเป็นอะไรกันแน่ถึงไม่ไปเรียน แล้วถ้าเห็นว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิดอยู่ผมก็จะกลับไปเข้าเรียน.... แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิดล่ะ... เฮ้ย!....... ดูให้แน่ใจก่อนดีกว่า "อ้าว คุณโน่ มาเยี่ยมคุณปุณณ์เหรอคะ" โชคเข้าข้างโคตร ๆ ที่ป้าน้อยเดินผ่านมาเห็นพอดี ผมถึงกับรีบปรี่เข้าไปเกาะรั้วอย่างดีใจ "ครับ ปุณณ์มันเป็นไรอะป้า" "ก็ไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ... คุณโน่เข้ามาข้างในดีกว่า" หญิงสูงอายุตรงหน้าผมว่าพลางเปิดประตูเล็กให้ ผมยกมือสวัสดีป้าน้อยอย่างนอบน้อมก่อนจะก้าวผ่านเข้าไปในบริเวณบ้าน "ปุณณ์ป่วยเป็นอะไรอะป้า" อย่าคิดว่าผมจะเลิกล้มความพยายามในการยิงคำถาม หึหึ แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนของป้าน้อยแทนซะอย่างนั้น
นี่......... อย่าบอกนะว่าคิดแบบเดียวกันกับน้องแป้งน่ะป้า -_-"..... "คุณโน่ขึ้นไปดูก็ได้ค่ะ คุณปุณณ์นอนอยู่บนห้องแน่ะ" เอาวะ... อยากคิดอะไรก็เชิญ (ชินแล้ว) ผมผงกหัวให้ป้าน้อยก่อนจะเดินผ่านเข้าไปในตัวบ้านที่เริ่มจะคุ้นเคยดี ตามทางเดินชั้นสองที่มันวับ ประตูไม้เนื้อสวยไม่ไกลจากผมนั้นคือห้องนอนไอ้ปุณณ์... ผมเดินตรงลิ่ว ๆ ไปหยุดหน้าประตูและเริ่มใช้ความคิดนิดหน่อย.. บุกเข้าไปเลยแล้วกัน! ไหน ๆ ก็ถ่อมาถึงนี่แล้ว! ผมคิดพลางหมุนลูกบิดประตูเข้าไปอย่างไร้มารยาท ไอ้เรื่องจะให้เคาะบอกน่ะ ฝันไปก่อน "ไอ้ปุณณ์!" ผมส่งเสียงดังแบบไม่มีความเกรงใจ (และสมบัติผู้ดี) แต่แล้วก็ต้องหุบปากสนิท เมื่อเห็นเจ้าของชื่อนั้นกำลังหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเหมือนกับคนไม่มีเรี่ยวแรง เฮ้ย... ตัวแม่งแดงเกือบทั้งตัวเป็นปูนึ่งเลยว่ะ (หิว)... นี่สรุปว่าสิ่งที่ผมคิดมันเป็นจริง จริง ๆ ด้วย ผมปล่อยกระเป๋านักเรียนทิ้งไว้ข้างประตูแล้วปรี่เข้าไปดูมันที่หลับอยู่บนเตียงทันที ผิวของปุณณ์ที่ปกติแล้วเป็นผิวขาวออกเหลือง ตอนนี้กลายเป็นสีแดงจาง ๆ เหมือนคนมีอาการผื่นขึ้นทั่วไป แบบเดียวกับแขนของผมที่เห็นเมื่อเช้านั่นแหละ แต่ของปุณณ์มันไม่ได้หยุดแค่แขน แต่กลับแดงทั้งตัวจนน่ากลัวจะทรมาน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครผิด....... ผมคิดถูกจริง ๆ ที่แวะมาหามันก่อนไปโรงเรียนอย่างนี้ เพราะถ้าเก็บมารู้ทีหลัง ผมคงเกลียดตัวเองชิบหาย "ผิวแพ้ก็เสือกเล่นอยู่ได้นะมึง..." เสียงผมบ่นอุบอิบระหว่างล้มตัวลงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเตียงมัน หางตาเหลือบเห็นแผงยาเม็ดแก้แพ้ที่ถูกแกะไปแล้ว กับนํ้าขวดหนึ่งตั้งอยู่ นี่คงจะกินยาไปแล้วสิ... ก็ยังดีวะ "มึงแหละเอาสบู่ราดกู" อ้าว.... ตกลงไม่ได้หลับซะฉิบ!!! ไอ้ห่านี่กวนตีนตลอด "ไม่หลับแล้วเสือกแกล้งตายทำไม" ผมโวยมันกลับพลางเงื้อมือจะโบกกบาล แต่นึกสงสารคนเจ็บเลยสงวนท่าทีไว้ก่อนดีกว่า ไอ้คนป่วยตัวแดงตรงหน้าผมนี้ยังมีแรงยักยิ้มให้ผมอยู่ "เป็นคนดีนี่ มีการมาเยี่ยมด้วย" ตลก! "เปล่า.... กูมาเอานาฬิกา" แน่นอนว่ามันหัวเราะให้คำตอบงี่เง่า ๆ ของผมว่ะ... เออ ทีใครทีมัน "แล้ว.... กินยายัง" ผมเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม "นาฬิกาตั้งอยู่นั่น เอาเสร็จแล้วก็ไปเรียนดิ" เปื่อยแล้วยังเสือกกวนประสาทอีกนะ ไอ้เวรปุณณ์!! ผมเขม่นตามองมันอย่างอดทนที่จะไม่ทำร้ายร่างกายคนเจ็บ แล้วเดินไปหยิบนาฬิกาข้อมือตรงโต๊ะกระจกมันมาใส่ ก่อนจะนั่งแหมะลงบนโซฟาตัวยาวในห้องนอนมัน "ไม่ไป... กุขี้เกียจ นอนเล่นอยู่บ้านมึงดีกว่า" แว่วเสียงไอ้ห่านี่หัวเราะแล้วก็พาลเจ็บใจ... ไม่ติดว่ามึงป่วยเพราะกู กูก็ไม่มาหรอกโว๊ยย "แล้วเป็นไง.. เจ็บปะวะ" สุดท้ายก็ต้องถามถึงอาการมันจนได้... เจ้าคนป่วยที่นอนหลับตาอยู่งึมงำ
ตอบผมในลำคอ "คัน ๆ ว่ะ... แล้วแขนมึงล่ะเป็นไง" เออ.. สังเกตด้วยแหะว่าแขนผมแดง ผมก้มมองรอยปื้น ๆ ที่แขนตัวเองแล้วก็ยักไหล่ "ไม่เท่าไหร่ คันหน่อย ๆ" "ไปคันหน่อยระวังพี่เคนเขาก้านคอเอานะเว้ย ยิ่งหวง ๆ แฟนอยู่" ไอ้สัดนี่ "ไอ้สัด..." ปากผมตรงกับใจเสมอเรื่องด่า ๆ ครับ "หึหึ.. เอายานี่ไปทาดิ่ ช่วยได้เยอะนะ" มันว่าพลางชี้โบ้ชี้เบ้ไปทางหัวเตียงทั้งที่ยังไม่ลืมตา ผมมองตามปลายนิ้วมันเห็นหลอดยาทาแก้แพ้อยู่แล้วก็เดินไปคว้ามาลูบลงกับแขนตัวเองบ้าง "มึงทายัง" "ยัง ขี้เกียจ" "เอ๊า!! จะหายไหมล่ะวะ ทาเด่ะ" บอกแต่คนอื่น ตัวเองเสือกไม่ยอมทำซะงั้น ผมยืนมองหน้ามันที่ขมวดคิ้วแน่นอย่างเกียจคร้าน ไอ้ปุณณ์บิดขี้เกียจทีสองทีก่อนจะยอมลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยดูสบาย ๆ กับทุกสถานการณ์ กลับอิดโรยอย่างไม่น่าเชื่อ "ทาให้หน่อยได้ปะ ขี้เกียจว่ะ" กูว่าแล้วไงไอ้ปุณณ์... ไหนใครบอกว่ามันเป็นนักเรียนดีเด่น ขยันโง้นงี้ ท้าให้มาดูนี่เลย โกหกทั้งเพ "เออ ถอดเสื้อ ๆๆๆ" ผมว่าพลางนั่งปุลงบนเตียงข้าง ๆ มันแล้วกำหลอดยาไว้ในมือ รอจนมันถอดเสื้อเสร็จ เผยให้เห็นผิวขาวที่มีรอยแดงฉาบอยู่แทบทั่วทุกบริเวณ "เป็นเยอะว่ะ...."
"เออ ตอนบ่ายไข้จะขึ้น" ทำนายได้อีกนะมึง.. ท่าทางเป็นขาประจำ ผมบีบเนื้อยาสีขาวจากตัวหลอดมาพักไว้บนฝ่ามือ ก่อนตัดสินใจชะโลมไปให้ทั่วแผ่นหลังของมันก่อน จนฝ่ามือรู้สึกได้ถึงเม็ดเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้เมื่อลองทาบลงไป "จะหมดหลอดก็เพราะหลังมึงใหญ่นี่แหละ" ผมบ่นเพราะเห็นว่าทายังไงก็ไม่ทั่วซักที ไอ้บ้านี่เห็นผอม ๆ แต่โครงสร้างกระดูกไหล่กว้างสมเป็นผู้ชายจริง ๆ เสียงปุณณ์หัวเราะรับคำบ่นผม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหันหน้ามาให้เมื่อทายาทั่วทั้งหลังแล้ว "เหนื่อยปะ" ยังมีหน้ามาถามอีกนะ ไอ้ขี้เกียจจจ "เออ เหนื่อย! ข้างหน้าทาเองสิวะ กูไม่อยากทำให้มึงสยิว" ผมพูดทีเล่นทีจริง แต่กลับได้รับเป็นสายตามีเลศนัยของไอ้ปุณณ์แทน "แค่เมื่อกี้กูก็เสียวแล้ว" "ไอ้ห่า..... งั้นทาเองเลยสัด" ขนลุก!! ผมโยนหลอดยาใส่มันทันที ได้ยินเสียงมันหัวเราะร่า "ล้อเล่น! ทาก็ทาให้เสร็จสิวะ หนาว" "แล้วเสือกปรับแอร์ซะเย็นทำไม บ้าหรือโง่วะ" ผมบ่นกลับแต่ก็บีบยาก๊อกที่สองลงบนฝ่ามือตามบัญชา เสียงแอร์ดังหึ่ง ๆ เป็นสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบในขณะนี้.. ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับมันต่อดีว่ะ เพราะมันก็ไม่ได้ชวนผมคุยเหมือนกัน แบบนี้เลยยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเกร็งแปลก ๆ ผมยอมรับว่ามือสั่นนิดหน่อย ตอนเผลอสบตากับมัน ก่อนปลายนิ้วจะแตะลงบนแผ่นอกของ
คนตรงหน้า ปัดโธ่เว๊ย.. ตื่นเต้นทำไมวะ! ผู้ชายด้วยกันแท้ ๆ ไม่ได้อวบอึ๋มเหมือนใน DVD ที่ไอ้โอมบิทมาฝากผมซักหน่อย ผมพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจตัวเองช้า ๆ พลางเกลี่ยยาให้ทั่วแผงอกกว้างนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าปุณณ์มีรูปร่างที่ดูดีเลยทีเดียวว่ะ ผอม.. แต่ไม่เก้งก้าง กล้ามเนื้อก็ไม่มีมากหรือน้อยจนเกินไป นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นผื่นแดงทั่วตัวอยู่ล่ะก็ สาว ๆ ที่ไหนมาเจอก็คงอยากแอบอิง ผมคิดอะไรเพลิน ๆ พลางละเลงยาไปจนทั่ว ด้วยกลัวว่าถ้าทาน้อยเกินไปจะไม่สำเร็จผล ฝ่ามือของผมวนไปเรื่อย ตั้งแต่หัวไหล่ หน้าท้อง แผ่นอก จนตอนนี้มาถึงแผ่นอกด้านซ้าย.... ผมเกลี่ยยาไปทางนั้นพร้อม ๆ กับที่รู้สึกว่า สิ่งที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง กำลังเคลื่อนไหวรุนแรงอยู่อย่างประหลาด หัวใจเต้นแรง เร็ว ราวกับว่าเจ้าของมันกำลังตื่นเต้นกับอะไรซักอย่าง ปรากฏการณ์นั้นดึงให้ผมขมวดคิ้วมุ่น พลางหยุดทาบมือตรงบริเวณหัวใจดวงนั้น ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของมันที่เสตาไปทางอื่นเรียบร้อยแล้ว "อะไร... แค่นี้ทำเป็นหัวใจเต้น" หึหึหึ "ไม่เต้นก็ตายสิวะ" ดูมัน.. มันยังมีหน้ามาเถียงผมอีกครับ ไอ้ขี้อายนี่ก็ตลกดีเหมือนกัน ผมยิ้มเผล่ก่อนจะละเลงยาให้จนทั่วต่อไป แล้วบิดหัวนมมันซะหนึ่งทีอย่างหมั่นเขี้ยว "โอ๊ย!!!!!! เล่นไรวะ!!" "หมั่นเขี้ยว เออ เสร็จแล้ว นอน ๆๆ ใส่เสื้อด้วย เดี๋ยวเป็นหวัดอีกจะไม่มีคนไปจัดการเรื่องเงินชมรมกูที่โรงเรียน" ผมว่าพลางช่วยใส่เสื้อให้มัน แอบเห็นมันหันมาชูมะเหงกใส่ผมหนึ่งทีแล้วก็อดขำไม่ได้
"นอนก่อนนะ มึงเล่นเกมไปก็ได้ ข้าวกลางวันลงไปหากินเลย ไม่ต้องเกรงใจ" มันสั่งเสียไว้อย่างนั้นก่อนจะมุดผ้านวมนอนเหมือนเด็ก ๆ ผมผละออกมาจากเตียงมันพลางพยักหน้ารับ "แล้วตอนบ่าย... ไข้กูจะขึ้น.. ฝากด้วย" แว่วเสียงมันอู้อี้พูดต่อจากใต้ผ้านวมหนา "อืม" เวลาที่มีใครสักคนไว้ใจเรา หัวใจมันอดจะพองโตไม่ได้จริง ๆ นะ..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น