ผมกลับมาถึงบ้านด้วยสมองอันว่างเปล่าพิกล.... จากเมื่อตอนกลางวันที่สุมคิดโน่นนี่เต็มหัวไปหมด
จนพอถึงเวลานี้.... ราวกับทุกเรื่องที่กวนใจอยู่จะสามัคคีกันรวมตัวกลายร่างเป็นก้อนกลมสีขาว
ลอยล่องไปมาในหัวผมแทนภายในพริบตา นี่คืออาการคิดมากขั้นสุดท้ายของผมแล้วสินะ...
มีหวังปล่อยไปแบบนี้เรื่อย ๆ ต้องเป็นบ้าไปก่อนแน่ ผมคิดพลางกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงนอน
แล้วคลานหยิบเกมแผ่นใหม่หวังจะเล่นแก้เซ็ง แต่ดันไม่มีอารมณ์เล่นซะนี่
"ไอ้เชี่ยปุณณ์...." ผมสบถด่ามันทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ตรงหน้า
เออ สะใจไปอีกแบบเหมือนกัน ผมเพิ่งรู้ว่าทำแบบนี้แล้วรู้สึกดีเป็นบ้า 91
"ไอ้เชี่ยปุณณ์ ไอ้เลว ไอ้เพี้ยน ไอ้วิปริต
ไอ้เจ้าชู้ แม่งเอาไม่เลือก ไอ้ ๆๆๆๆ....." จะด่าอะไรต่ออีกดีวะ!
ผมคิดอย่างหงุดหงิดใจพลางเตะหมอนข้างที่กองอยู่บนพื้น ให้ลอยสู่อีกฟากห้องไปด้วย
"แม่งงงงเอ๊ย...." ไม่รู้จะด่าอะไรแล้วก็ได้แต่บ่นพลางเดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่น
ก่อนที่ผมจะตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง 'ตึง ๆๆๆ' "อ้าวโน่!! จะไปไหน!! ลงบันไดเบา
ๆ หน่อย!!" "บ้านเพื่อนฮะ! เดี๋ยวมา!"
ผมตอบม๊าแค่นั้นก่อนจะบึ่งมอเตอร์ไซค์คันเก่งออกนอกรั้วบ้านทันที
*** มาอีกแล้วจนได้ ไอ้บ้านหลังใหญ่เนี่ย.. ผมปลดเกียร์หยุดมอเตอร์ไซค์ลงหน้าบ้านภูมิพัฒน์พลางมองขึ้นไปชั้นสอง
เห็นแสงไฟห้องไอ้ปุณณ์สว่างโร่อยู่ เป็นเครื่องหมายว่ามันกลับมาแล้ว ว่าแต่ที่ผมถ่อมาถึงนี่
ผมอยากจะพูดอะไร คุยอะไร เคลียร์อะไรกับมัน?...... บอกตามตรงว่าผมไม่รู้จริง
ๆ รู้แต่เราสองคนจำเป็นต้องคุยอะไรกันบางอย่าง.... ในที่สุดถนนหน้าบ้านภูมิพัฒน์ก็กลายเป็นลู่ออกกําลังกายให้ผมเดินวนไปมาจนมึนหัวซะแล้วเพราะไม่รู้จะเข้าไปดีหรือไม่ดี
กระทั่งมีรถคันโตขับมาจ่อหน้ารั้วบ้านนั่นแหละ จึงได้ยินเสียงเรียกชื่อผมจากกระจกเบาะหลังที่ถูกเลื่อนลง
"พี่โน่???" 92
น้องแป้ง!? "พี่โน่มาหาพี่ปุณณ์เหรอคะ?" งามหน้าไหมวะเนี่ย...
ผมรู้สึกเหมือนกลายเป็นไอ้เกย์ติดแฟนไปซะฉิบ ถ่อมาหาได้ทุกวัน ๆๆ แต่ดูท่าทางน้องแป้งจะชอบแหะ
-_-"..... "เข้าไปสิคะ" เห็นไหมล่ะ....
ผมยิ้มแหย ๆ ให้น้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของปุณณ์เมื่อเธอกดรีโมทเปิดประตูใหญ่
อนุญาตให้ผมเอามอเตอร์ไซค์บุโรทั่งเข้าไปจอดในโรงรถได้ พร้อม ๆ กับรถยุโรปคันงามและคนขับของเธอ
"น้องแป้งกลับบ้านดึกจังครับ" ผมเกริ่นทักทายเล็กน้อยพอเป็นพิธีเมื่อเห็นเด็กสาวก้าวลงจากรถทั้งชุดนักเรียน
ขณะที่ผมเองก็ใส่ชุดนักเรียนอยู่เหมือนกัน... แต่รองเท้าเนี่ย
กลายร่างเป็นรองเท้าแตะไปเรียบร้อยแล้ว "แป้งเรียนพิเศษค่ะ
พี่ปุณณ์กลับมาแล้วนี่คะ พี่โน่ขึ้นไปสิ" เธอตอบผมหลังจากที่เงยหน้ามองแสงไฟในห้องปุณณ์เรียบร้อยแล้ว
"พี่โน่ทะเลาะกับพี่ปุณณ์เหรอคะ...?" เฮ้ย คำถามรอบแจ็คพ็อต!! ทำไมเซ้นส์ดีงี้ล่ะหนู!!
เสียงใส ๆ นั่นทำเอาผมสะอึกอุกพร้อมลืมก้าวขาไปก้าวหนึ่งได้ง่าย ๆ กูจะตอบยังไงดีวะเนี่ย......
"เอ่อ... เปล่าหรอกครับ... ที่จริง.. พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน.... แหะ ๆ" ฟังดูเป็นคำตอบรึเปล่า -_-"
"ทำไมน้องแป้งคิดงั้นล่ะครับ?" 93
"ก็ตั้งแต่กลับจากบ้านพี่โน่เมื่อวันเสาร์...
พี่ปุณณ์ก็ซึมไป ข้าวปลาไม่ค่อยจะกิน...... พี่โน่อย่าโกรธพี่ปุณณ์เลยนะคะ
พี่ปุณณ์อาจจะงี่เง่า ขี้งอนไปบ้าง แต่พี่ปุณณ์ก็รักพี่โน่นะ" (เผาพี่ชายเชียวนะ) แต่ใครโกรธใครกันแน่ครับแป้ง...
แล้วไอ้ปุณณ์เนี่ยนะรักผม!? ใบหน้าของผมคงแปะป้ายคำว่า
'สงสัย' จนน้องแป้งพูดต่อได้โดยไม่ต้องออกแรงถาม
"ตั้งแต่มีพี่โน่ พี่ปุณณ์ก็หัวเราะดังขึ้นกว่าก่อนตั้งเยอะ...
แป้งเห็นสาว ๆ กรี๊ดพี่ปุณณ์เยอะก็จริง แต่ไม่เคยเห็นพี่ปุณณ์พาใครมาให้แป้งเจอที่บ้านอย่างนี้มาก่อน....
พี่ปุณณ์รักพี่โน่จริง ๆ นะคะ.. แป้งดูออก"
ผมคลี่ยิ้มหงอย ๆ รับคำนั้นของน้องแป้ง... เพราะรู้ดีว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องโกหก..
ปุณณ์ไม่เคยรักคนอย่างพี่หรอกครับแป้ง.. *** หลังจากแยกกับน้องแป้งแล้ว
ผมขึ้นมายืนลังเลหน้าประตูไม้เนื้อดีตรงนี้อยู่ครู่หนึ่ง ด้วยความสับสนว่าควรใช้หลังมือเคาะแบบหนังสือสอนสมบัติผู้ดีเขาทำกัน
หรือถีบประตูแม่ง แล้วบุกด่าเจ้าของห้องมันแบบใจผมคิด (อยากทำอย่างหลังมากกว่า)
แน่นอนว่าถึงจะเตรียมไว้หลายวิธีแต่ทำได้จริงเพียงวิธีเดียว ผมตัดสินใจเคาะประตูห้องนั้นลงไป
แต่อย่าหวังจะแอบมองผ่านตาแมวได้ เพราะผมหลบพ้นรัศมีเป็นแน่แท้ นี่ไม่ได้ตั้งใจจะเซอร์ไพร์สหรอกนะ
เพราะขืนปล่อยให้มันเห็นว่าคนยืนอยู่หน้าประตูเป็นใคร เจ้าของห้องอาจจะพาลไม่เปิดให้ผมเอาน่ะสิ
94
แน่นอนว่าวินาทีแรกที่ประตูแง้มเปิด
ผมแทรกพรวดเข้าไปด้านในทันที "โน่!?" เออ
ตกใจแบบนั้นแหละดี! "ไม่ต้องทำตัวเป็นนินจาขนาดนั้นก็ได้....
มีอะไรรึเปล่า" ได้ยินคำพูดนั้นของปุณณ์แล้วก็พาลรู้สึกหงุดหงิดชะมัด
มันเพราะใครล่ะวะที่เพียรหลบหน้าผมทั้งวัน จนต้องแปลงร่างเป็นนินจาโผล่มาแบบนี้...
ผมคิดพลางขมวดคิ้วมองปุณณ์ซึ่งยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เหมือนกัน...
คงเพิ่งมาถึงสินะ "กินข้าวรึยัง"
เสียงปุณณ์ถามผมพลางเดินหลบไปทางตู้เย็นเล็ก คุ้ยหาโค้กกระป๋องส่งมาให้
"อ๋อ... แต่ไปกินกับยูริมาแล้วนี่นะ ลืมไป"
"มึงก็ไปกินกับเอมมาแล้วนี่... มีเบียร์ปะ
อันนี่ไม่เอา" มันมองหน้าผมอย่างงง ๆ นิดหน่อย แต่ก็โยนสิ่งที่ผมต้องการมาให้แต่โดยดี
ผมรับเบียร์กระป๋องนั้นไว้ก่อนล้มตัวลงนั่งกึ่งนอนบนโซฟา ตามด้วยตัวปุณณ์ที่แหมะลงข้าง
ๆ ผม พร้อมด้วยเบียร์ 1 กระป๋องในมือเช่นกัน เราทั้งคู่ต่างเงียบดูการ์ตูนเนทเวิร์คที่ปุณณ์เปิดทิ้งไว้โดยไม่มีใครพูดอะไรสักคำ..
ผมรู้สึกได้ว่าไอ้ปุณณ์เหม่อมากกว่าดูทีวี เช่นเดียวกันกับผม ที่ไม่มีสมาธิจะดูทอมแอนด์เจอร์รี่ตรงหน้าเลยสักนิด
"เฮ้อ...." ผมถอนหายใจเสียงยาวพลางเงยคอพิงพนักโซฟา
"เป็นไร?" ปุณณ์เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง
"มึงดูอะไรโคตรปัญญาอ่อน" 95
"อ้าว อะนี่... เอารีโมทไป
อยากดูไรกดเอง" มันว่าพลางวางรีโมทบนตักผม.. ซึ่งจริง ๆ แล้วผมไม่ได้ตั้งใจมาดูทีวี แต่จะให้เริ่มพูดอะไรตอนนี้คงทำไม่ไหวเหมือนกัน....
นิ้วมือผมกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ค้างไว้ที่ช่อง 55 นานนิดหน่อย "ว่าแต่ผม โน่ดูหมีพูห์เนี่ยนะ"
"เออน่า.. อยากเป็นทิกเกอร์"
"เสือ?" "ใช่เสือ.. เท่ห์ปะ" "แต่ทิกเกอร์มันเสือปัญญาอ่อน"
ปุณณ์ค้านผม ทำเอาคิ้วขมวดยุ่ง "ช่างเหอะน่า..."
เป็นอันว่าจบบทสนทนาว่าใครปัญญาอ่อนปัญญาดี... ผมมองภาพในจอที่จู่ ๆ ทิกเกอร์กระโดดลงคลองเพื่อเล่นเกมกับหมีพูห์แล้วพาลคิดถึงเรื่องตอนกลางวันอย่างช่วยไม่ได้
"มึงก็ทำกูเปียก วันนี้..." ท่าทางคำบ่นของผมจะเรียกรอยยิ้มจากปุณณ์ได้
เพราะมันแค่นหัวเราะสองสามทีก่อนจะมองหน้าผม "ใครใช้ให้โน่ไปนอนอยู่ตรงนั้นล่ะ"
"ไม่มีใครใช้แต่........ เพราะมึง.."
ผมตอบทั้งที่ตายังมองทีวีอยู่แต่ไม่เหลือสมาธิจดจ่ออะไรแล้ว ฤทธิ์แอลกอฮอล์กําลังเล่นงานให้คำพูดต่าง
ๆ พรั่งพรูออกมาง่ายยิ่งขึ้น "เพราะมึงแหละ.."
ผมยํ้าให้มันได้ยินอีกที "ผมทำไม..."
"มึงเมินกูทั้งวัน... กูเซ็งมาก เลยโดดเรียนไปนอนแก้เซ็งหลังตึก......
นี่มึงเลิกพูดเพราะ ๆ กับกูได้ไม๊!? มึง96
เป็นอะไรเนี่ย" ผมรู้สึกว่าการที่มันพูดจาเพราะ ๆ กับผมเหมือนกับมันปิดบังอะไรซักอย่าง ซึ่งผมอารมณ์เสียมากจนต้องตะคอกแล้วกดปิดทีวีลง
"............................" ช่วงเวลาพักใหญ่ที่เราทั้งคู่ต่างเงียบไป.......
เหลือเพียงเสียงเบียร์เท่านั้นที่หลั่งไหลลงลำคอไม่หยุดหย่อน...
จนผมคิดว่าจะมอมตัวเองแล้วเมาหลับไปทั้งอย่างนี้เลยดีไหม
"กู....... มึงรู้รึเปล่าว่ากูเคยรักเอมมากขนาดไหน..."
อยู่ดี ๆ ปุณณ์ก็พูดคำนี้ออกมา ผมรู้สึกราวกับมีมีดพันเล่มปักกลางหัวใจดังฉึก
"จะไปรู้ด้วยได้ไง.. เรื่องของพวกมึง"
"ไม่ว่าเอมจะทำอะไร... กูเคยให้อภัยเขาทุกอย่าง......
เขาจะงอแง เอาแต่ใจ บังคับให้กูฝืนใจทำอะไรขนาดไหน กูก็คิดว่ากูยอมเขาได้ทุกอย่าง..."
"........................." "จนกระทั่งวันพุธ ที่มึงมาขอความช่วยเหลือจากกู.......
จนวันนี้......." "........................."
".... มันแปลกไปหมด" ผมทนฟังมันพูดจาวกวนไม่ได้แล้วจริง
ๆ "หมายความว่าไงของมึงวะ 'แปลก'
กูตกวิชาภาษาไทย" ผมจ้องใบหน้าด้านข้างของปุณณ์ที่สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนครั้งหนึ่ง
แล้วพ่นคำพูดทั้งหมดออกมาโดยไม่ยอมมองหน้าผม 97
"โน่.... มึงปล่อยกูไว้อย่างนี้ซักพักเถอะ..
กูทนตัวเองไม่ไหวแล้วที่กูอยากเจอแต่มึง กูแม่งหน้าไม่อายที่จะจูบมึง
ทั้ง ๆ ที่กูไม่รู้เลยด้วยซํ้าว่าความรู้สึกพวกนี้มันเกิดได้ยังไงแล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่
กูรู้ตัวอีกทีกูก็คิดไปแล้วว่ากูอยากให้คนอยู่ข้าง ๆ กูเป็นมึง.. ทุกครั้งที่มึงมาช่วยกู มาดูแลกู กูคิดเสมอว่าอยากให้เป็นกู ที่เป็นฝ่ายดูแลมึง..
กูมันเชี่ยที่บริสุทธิ์ใจกับมึงไม่ได้ แม้กระทั่งทุกครั้งที่เราอยู่ใกล้กัน
กูยังต้องห้ามใจอย่างหนัก ไม่ให้ตัวเองสัมผัสมึง... ซึ่งมึงรู้ไหมว่ายิ่งนานไปมันก็ยิ่งยากขึ้นทุกที....
เราห่างกันซักพักเถอะ กูแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่แล้วตอนนี้"
คำพูดยืดยาวของปุณณ์ถูกพ่นออกมาราวกับทนเก็บไว้มานานจนผมได้แต่นั่งนิ่ง...
ทุกคำที่ไหลผ่านเข้าหูซ้ายไม่ยอมทะลุทางหูขวาออกไปไหนและผมยอมรับว่าทั้งหมดเหนือความคาดหมายตอนแรกไปมาก
ดวงตาที่ปิดสนิทจนแน่นของปุณณ์ เป็นเครื่องมือยืนยันว่าเจ้าตัวกําลังขบคิดทุกเรื่องอย่างหนัก...
รวมไปถึงฝ่ามือชื้นเหงื่อที่ปุณณ์ใช้กําตัวเองจนแน่นนั้นอีก ขณะที่สมองผมปลอดโล่งโปร่งไปหมด...
ราวกับมีใครบางคนยกภูเขาให้ออกจากอก มันอธิบายได้ยากว่าผมกําลังรู้สึกยังไง
แต่ผมยังมีเรื่องที่อยากถามให้แน่ใจ.. "ทำไมมึงต้องห้ามตัวเอง...
ไม่ให้สัมผัสกู...." ปุณณ์ส่ายหน้ากับตัวเองทั้งที่ยังหลับตาแน่น
"เพราะสิ่งที่มึงหยิบยื่นให้กูมาคือความเป็นเพื่อนที่มีค่ามากกว่ากูจะทรยศมัน..
เพราะมึงเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เหมือนกันกับที่กูเป็น.. เพราะมึงมียูริข้าง ๆ เหมือนกับที่กูมีเอม... เพราะสิ่งที่กูคิดมันอาจจะทำให้มึงเกลียดกูจนไม่อยากเป็นเพื่อนกูต่ออีกเลยก็ได้..
มึงเข้าใจไหมว่าเหตุผลทุกอย่างบอกว่ากูจะเป็นแบบนี้ไม่ได้.. กูกําลังจะทำผิดต่อทุกอย่าง แล้วกู..... กู.....
กูทำอะไรไม่ถูกแล้ว..." นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคนเก่งอย่างปุณณ์จนตรอก....
เสียงมันสั่นก่อนจะเค้นคำพูดออกมาอีกครั้ง "กู........ ไม่อยากให้ทุกอย่าง.. ผิดไปยิ่งกว่านี้อีกแล้ว..." คำพูดนั้นทำให้ผมสลดลงอย่างช่วยไม่ได้..
ในเมื่อ98
ใบหน้าสิ้นหวังของปุณณ์แจ้งชัดว่าเจ้าของมันกําลังอ่อนแอเพียงใด... ยํ้าเตือนผมว่าผู้ชายคนนี้ที่เห็นไม่ใช่ปุณณ์
ภูมิพัฒน์ของใครต่อใคร ไม่ใช่แม้แต่เลขาฯสภานักเรียนผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ชายตรงหน้าผม...
เป็นแค่ปุณณ์... ไอ้ปุณณ์........ เด็กผู้ชายธรรมดาที่อยู่ในช่วงจัดการความรู้สึกของตัวเอง.. แม้ทำท่าเหมือนจะไปไม่รอด ใบหน้าด้านซ้ายที่บิดเบี้ยวนั้นทำให้ผมต้องเผลอหลงมองปุณณ์อย่างหลงไหล...
จนไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร สั่งให้ผมหยิบมือข้างนั้นมากุม ด้วยหวังว่า
ความเข้มแข็งจะถูกส่งผ่านไป.. "ถ้าเราตัดเหตุผลทั้งหมดทิ้ง....
ถ้าไม่ต้องคิดว่าเราเป็นอะไร หรือความถูกต้องที่สมควรทำคือสิ่งไหน..."
ผมพยายามค้นหาความจริงจากดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยคำถามของความไม่เข้าใจ
"... สิ่งที่มึงอยากทำคืออะไร.." ปุณณ์มองหน้าผมที่สบตาเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะวาดแขนข้างหนึ่งคร่อมตัวผมไว้ พร้อมมอบใบหน้าคมคายให้คล้อยใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
....... ทั้งหมดนี้เรียกความรู้สึกของวันก่อนที่ผมเคยมี ให้กลับมาอีกครั้ง
ริมฝีปากหยุ่นสีอมส้มประชิดติดริมฝีปากของผม ก่อนจะกระซิบถ้อยคำหนึ่งแผ่วเบา..
".. ผมอยากมีโน่.." หากเราปล่อยให้ช่วงเวลานี้ผ่านไป..
โดยไม่ต้องคำนึงถึงอนาคตที่จะตามมาเลย ได้ไหมนะ…. 99