วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

LOVE SICK :: ชุลมุนกางเกงน้าเงิน EP.15



ผมกลับมาถึงบ้านด้วยสมองอันว่างเปล่าพิกล.... จากเมื่อตอนกลางวันที่สุมคิดโน่นนี่เต็มหัวไปหมด จนพอถึงเวลานี้.... ราวกับทุกเรื่องที่กวนใจอยู่จะสามัคคีกันรวมตัวกลายร่างเป็นก้อนกลมสีขาว ลอยล่องไปมาในหัวผมแทนภายในพริบตา นี่คืออาการคิดมากขั้นสุดท้ายของผมแล้วสินะ... มีหวังปล่อยไปแบบนี้เรื่อย ๆ ต้องเป็นบ้าไปก่อนแน่ ผมคิดพลางกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงนอน แล้วคลานหยิบเกมแผ่นใหม่หวังจะเล่นแก้เซ็ง แต่ดันไม่มีอารมณ์เล่นซะนี่ "ไอ้เชี่ยปุณณ์...." ผมสบถด่ามันทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ตรงหน้า เออ สะใจไปอีกแบบเหมือนกัน ผมเพิ่งรู้ว่าทำแบบนี้แล้วรู้สึกดีเป็นบ้า 91
"ไอ้เชี่ยปุณณ์ ไอ้เลว ไอ้เพี้ยน ไอ้วิปริต ไอ้เจ้าชู้ แม่งเอาไม่เลือก ไอ้ ๆๆๆๆ....." จะด่าอะไรต่ออีกดีวะ! ผมคิดอย่างหงุดหงิดใจพลางเตะหมอนข้างที่กองอยู่บนพื้น ให้ลอยสู่อีกฟากห้องไปด้วย "แม่งงงงเอ๊ย...." ไม่รู้จะด่าอะไรแล้วก็ได้แต่บ่นพลางเดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่น ก่อนที่ผมจะตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง 'ตึง ๆๆๆ' "อ้าวโน่!! จะไปไหน!! ลงบันไดเบา ๆ หน่อย!!" "บ้านเพื่อนฮะ! เดี๋ยวมา!" ผมตอบม๊าแค่นั้นก่อนจะบึ่งมอเตอร์ไซค์คันเก่งออกนอกรั้วบ้านทันที *** มาอีกแล้วจนได้ ไอ้บ้านหลังใหญ่เนี่ย.. ผมปลดเกียร์หยุดมอเตอร์ไซค์ลงหน้าบ้านภูมิพัฒน์พลางมองขึ้นไปชั้นสอง เห็นแสงไฟห้องไอ้ปุณณ์สว่างโร่อยู่ เป็นเครื่องหมายว่ามันกลับมาแล้ว ว่าแต่ที่ผมถ่อมาถึงนี่ ผมอยากจะพูดอะไร คุยอะไร เคลียร์อะไรกับมัน?...... บอกตามตรงว่าผมไม่รู้จริง ๆ รู้แต่เราสองคนจำเป็นต้องคุยอะไรกันบางอย่าง.... ในที่สุดถนนหน้าบ้านภูมิพัฒน์ก็กลายเป็นลู่ออกกําลังกายให้ผมเดินวนไปมาจนมึนหัวซะแล้วเพราะไม่รู้จะเข้าไปดีหรือไม่ดี กระทั่งมีรถคันโตขับมาจ่อหน้ารั้วบ้านนั่นแหละ จึงได้ยินเสียงเรียกชื่อผมจากกระจกเบาะหลังที่ถูกเลื่อนลง "พี่โน่???" 92
น้องแป้ง!? "พี่โน่มาหาพี่ปุณณ์เหรอคะ?" งามหน้าไหมวะเนี่ย... ผมรู้สึกเหมือนกลายเป็นไอ้เกย์ติดแฟนไปซะฉิบ ถ่อมาหาได้ทุกวัน ๆๆ แต่ดูท่าทางน้องแป้งจะชอบแหะ -_-"..... "เข้าไปสิคะ" เห็นไหมล่ะ.... ผมยิ้มแหย ๆ ให้น้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของปุณณ์เมื่อเธอกดรีโมทเปิดประตูใหญ่ อนุญาตให้ผมเอามอเตอร์ไซค์บุโรทั่งเข้าไปจอดในโรงรถได้ พร้อม ๆ กับรถยุโรปคันงามและคนขับของเธอ "น้องแป้งกลับบ้านดึกจังครับ" ผมเกริ่นทักทายเล็กน้อยพอเป็นพิธีเมื่อเห็นเด็กสาวก้าวลงจากรถทั้งชุดนักเรียน ขณะที่ผมเองก็ใส่ชุดนักเรียนอยู่เหมือนกัน... แต่รองเท้าเนี่ย กลายร่างเป็นรองเท้าแตะไปเรียบร้อยแล้ว "แป้งเรียนพิเศษค่ะ พี่ปุณณ์กลับมาแล้วนี่คะ พี่โน่ขึ้นไปสิ" เธอตอบผมหลังจากที่เงยหน้ามองแสงไฟในห้องปุณณ์เรียบร้อยแล้ว "พี่โน่ทะเลาะกับพี่ปุณณ์เหรอคะ...?" เฮ้ย คำถามรอบแจ็คพ็อต!! ทำไมเซ้นส์ดีงี้ล่ะหนู!! เสียงใส ๆ นั่นทำเอาผมสะอึกอุกพร้อมลืมก้าวขาไปก้าวหนึ่งได้ง่าย ๆ กูจะตอบยังไงดีวะเนี่ย...... "เอ่อ... เปล่าหรอกครับ... ที่จริง.. พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน.... แหะ ๆ" ฟังดูเป็นคำตอบรึเปล่า -_-" "ทำไมน้องแป้งคิดงั้นล่ะครับ?" 93
"ก็ตั้งแต่กลับจากบ้านพี่โน่เมื่อวันเสาร์... พี่ปุณณ์ก็ซึมไป ข้าวปลาไม่ค่อยจะกิน...... พี่โน่อย่าโกรธพี่ปุณณ์เลยนะคะ พี่ปุณณ์อาจจะงี่เง่า ขี้งอนไปบ้าง แต่พี่ปุณณ์ก็รักพี่โน่นะ" (เผาพี่ชายเชียวนะ) แต่ใครโกรธใครกันแน่ครับแป้ง... แล้วไอ้ปุณณ์เนี่ยนะรักผม!? ใบหน้าของผมคงแปะป้ายคำว่า 'สงสัย' จนน้องแป้งพูดต่อได้โดยไม่ต้องออกแรงถาม "ตั้งแต่มีพี่โน่ พี่ปุณณ์ก็หัวเราะดังขึ้นกว่าก่อนตั้งเยอะ... แป้งเห็นสาว ๆ กรี๊ดพี่ปุณณ์เยอะก็จริง แต่ไม่เคยเห็นพี่ปุณณ์พาใครมาให้แป้งเจอที่บ้านอย่างนี้มาก่อน.... พี่ปุณณ์รักพี่โน่จริง ๆ นะคะ.. แป้งดูออก" ผมคลี่ยิ้มหงอย ๆ รับคำนั้นของน้องแป้ง... เพราะรู้ดีว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องโกหก.. ปุณณ์ไม่เคยรักคนอย่างพี่หรอกครับแป้ง.. *** หลังจากแยกกับน้องแป้งแล้ว ผมขึ้นมายืนลังเลหน้าประตูไม้เนื้อดีตรงนี้อยู่ครู่หนึ่ง ด้วยความสับสนว่าควรใช้หลังมือเคาะแบบหนังสือสอนสมบัติผู้ดีเขาทำกัน หรือถีบประตูแม่ง แล้วบุกด่าเจ้าของห้องมันแบบใจผมคิด (อยากทำอย่างหลังมากกว่า) แน่นอนว่าถึงจะเตรียมไว้หลายวิธีแต่ทำได้จริงเพียงวิธีเดียว ผมตัดสินใจเคาะประตูห้องนั้นลงไป แต่อย่าหวังจะแอบมองผ่านตาแมวได้ เพราะผมหลบพ้นรัศมีเป็นแน่แท้ นี่ไม่ได้ตั้งใจจะเซอร์ไพร์สหรอกนะ เพราะขืนปล่อยให้มันเห็นว่าคนยืนอยู่หน้าประตูเป็นใคร เจ้าของห้องอาจจะพาลไม่เปิดให้ผมเอาน่ะสิ 94
แน่นอนว่าวินาทีแรกที่ประตูแง้มเปิด ผมแทรกพรวดเข้าไปด้านในทันที "โน่!?" เออ ตกใจแบบนั้นแหละดี! "ไม่ต้องทำตัวเป็นนินจาขนาดนั้นก็ได้.... มีอะไรรึเปล่า" ได้ยินคำพูดนั้นของปุณณ์แล้วก็พาลรู้สึกหงุดหงิดชะมัด มันเพราะใครล่ะวะที่เพียรหลบหน้าผมทั้งวัน จนต้องแปลงร่างเป็นนินจาโผล่มาแบบนี้... ผมคิดพลางขมวดคิ้วมองปุณณ์ซึ่งยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เหมือนกัน... คงเพิ่งมาถึงสินะ "กินข้าวรึยัง" เสียงปุณณ์ถามผมพลางเดินหลบไปทางตู้เย็นเล็ก คุ้ยหาโค้กกระป๋องส่งมาให้ "อ๋อ... แต่ไปกินกับยูริมาแล้วนี่นะ ลืมไป" "มึงก็ไปกินกับเอมมาแล้วนี่... มีเบียร์ปะ อันนี่ไม่เอา" มันมองหน้าผมอย่างงง ๆ นิดหน่อย แต่ก็โยนสิ่งที่ผมต้องการมาให้แต่โดยดี ผมรับเบียร์กระป๋องนั้นไว้ก่อนล้มตัวลงนั่งกึ่งนอนบนโซฟา ตามด้วยตัวปุณณ์ที่แหมะลงข้าง ๆ ผม พร้อมด้วยเบียร์ 1 กระป๋องในมือเช่นกัน เราทั้งคู่ต่างเงียบดูการ์ตูนเนทเวิร์คที่ปุณณ์เปิดทิ้งไว้โดยไม่มีใครพูดอะไรสักคำ.. ผมรู้สึกได้ว่าไอ้ปุณณ์เหม่อมากกว่าดูทีวี เช่นเดียวกันกับผม ที่ไม่มีสมาธิจะดูทอมแอนด์เจอร์รี่ตรงหน้าเลยสักนิด "เฮ้อ...." ผมถอนหายใจเสียงยาวพลางเงยคอพิงพนักโซฟา "เป็นไร?" ปุณณ์เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง "มึงดูอะไรโคตรปัญญาอ่อน" 95
"อ้าว อะนี่... เอารีโมทไป อยากดูไรกดเอง" มันว่าพลางวางรีโมทบนตักผม.. ซึ่งจริง ๆ แล้วผมไม่ได้ตั้งใจมาดูทีวี แต่จะให้เริ่มพูดอะไรตอนนี้คงทำไม่ไหวเหมือนกัน.... นิ้วมือผมกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ค้างไว้ที่ช่อง 55 นานนิดหน่อย "ว่าแต่ผม โน่ดูหมีพูห์เนี่ยนะ" "เออน่า.. อยากเป็นทิกเกอร์" "เสือ?" "ใช่เสือ.. เท่ห์ปะ" "แต่ทิกเกอร์มันเสือปัญญาอ่อน" ปุณณ์ค้านผม ทำเอาคิ้วขมวดยุ่ง "ช่างเหอะน่า..." เป็นอันว่าจบบทสนทนาว่าใครปัญญาอ่อนปัญญาดี... ผมมองภาพในจอที่จู่ ๆ ทิกเกอร์กระโดดลงคลองเพื่อเล่นเกมกับหมีพูห์แล้วพาลคิดถึงเรื่องตอนกลางวันอย่างช่วยไม่ได้ "มึงก็ทำกูเปียก วันนี้..." ท่าทางคำบ่นของผมจะเรียกรอยยิ้มจากปุณณ์ได้ เพราะมันแค่นหัวเราะสองสามทีก่อนจะมองหน้าผม "ใครใช้ให้โน่ไปนอนอยู่ตรงนั้นล่ะ" "ไม่มีใครใช้แต่........ เพราะมึง.." ผมตอบทั้งที่ตายังมองทีวีอยู่แต่ไม่เหลือสมาธิจดจ่ออะไรแล้ว ฤทธิ์แอลกอฮอล์กําลังเล่นงานให้คำพูดต่าง ๆ พรั่งพรูออกมาง่ายยิ่งขึ้น "เพราะมึงแหละ.." ผมยํ้าให้มันได้ยินอีกที "ผมทำไม..." "มึงเมินกูทั้งวัน... กูเซ็งมาก เลยโดดเรียนไปนอนแก้เซ็งหลังตึก...... นี่มึงเลิกพูดเพราะ ๆ กับกูได้ไม๊!? มึง96
เป็นอะไรเนี่ย" ผมรู้สึกว่าการที่มันพูดจาเพราะ ๆ กับผมเหมือนกับมันปิดบังอะไรซักอย่าง ซึ่งผมอารมณ์เสียมากจนต้องตะคอกแล้วกดปิดทีวีลง "............................" ช่วงเวลาพักใหญ่ที่เราทั้งคู่ต่างเงียบไป....... เหลือเพียงเสียงเบียร์เท่านั้นที่หลั่งไหลลงลำคอไม่หยุดหย่อน... จนผมคิดว่าจะมอมตัวเองแล้วเมาหลับไปทั้งอย่างนี้เลยดีไหม "กู....... มึงรู้รึเปล่าว่ากูเคยรักเอมมากขนาดไหน..." อยู่ดี ๆ ปุณณ์ก็พูดคำนี้ออกมา ผมรู้สึกราวกับมีมีดพันเล่มปักกลางหัวใจดังฉึก "จะไปรู้ด้วยได้ไง.. เรื่องของพวกมึง" "ไม่ว่าเอมจะทำอะไร... กูเคยให้อภัยเขาทุกอย่าง...... เขาจะงอแง เอาแต่ใจ บังคับให้กูฝืนใจทำอะไรขนาดไหน กูก็คิดว่ากูยอมเขาได้ทุกอย่าง..." "........................." "จนกระทั่งวันพุธ ที่มึงมาขอความช่วยเหลือจากกู....... จนวันนี้......." "........................." ".... มันแปลกไปหมด" ผมทนฟังมันพูดจาวกวนไม่ได้แล้วจริง ๆ "หมายความว่าไงของมึงวะ 'แปลก' กูตกวิชาภาษาไทย" ผมจ้องใบหน้าด้านข้างของปุณณ์ที่สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนครั้งหนึ่ง แล้วพ่นคำพูดทั้งหมดออกมาโดยไม่ยอมมองหน้าผม 97
"โน่.... มึงปล่อยกูไว้อย่างนี้ซักพักเถอะ.. กูทนตัวเองไม่ไหวแล้วที่กูอยากเจอแต่มึง กูแม่งหน้าไม่อายที่จะจูบมึง ทั้ง ๆ ที่กูไม่รู้เลยด้วยซํ้าว่าความรู้สึกพวกนี้มันเกิดได้ยังไงแล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กูรู้ตัวอีกทีกูก็คิดไปแล้วว่ากูอยากให้คนอยู่ข้าง ๆ กูเป็นมึง.. ทุกครั้งที่มึงมาช่วยกู มาดูแลกู กูคิดเสมอว่าอยากให้เป็นกู ที่เป็นฝ่ายดูแลมึง.. กูมันเชี่ยที่บริสุทธิ์ใจกับมึงไม่ได้ แม้กระทั่งทุกครั้งที่เราอยู่ใกล้กัน กูยังต้องห้ามใจอย่างหนัก ไม่ให้ตัวเองสัมผัสมึง... ซึ่งมึงรู้ไหมว่ายิ่งนานไปมันก็ยิ่งยากขึ้นทุกที.... เราห่างกันซักพักเถอะ กูแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่แล้วตอนนี้" คำพูดยืดยาวของปุณณ์ถูกพ่นออกมาราวกับทนเก็บไว้มานานจนผมได้แต่นั่งนิ่ง... ทุกคำที่ไหลผ่านเข้าหูซ้ายไม่ยอมทะลุทางหูขวาออกไปไหนและผมยอมรับว่าทั้งหมดเหนือความคาดหมายตอนแรกไปมาก ดวงตาที่ปิดสนิทจนแน่นของปุณณ์ เป็นเครื่องมือยืนยันว่าเจ้าตัวกําลังขบคิดทุกเรื่องอย่างหนัก... รวมไปถึงฝ่ามือชื้นเหงื่อที่ปุณณ์ใช้กําตัวเองจนแน่นนั้นอีก ขณะที่สมองผมปลอดโล่งโปร่งไปหมด... ราวกับมีใครบางคนยกภูเขาให้ออกจากอก มันอธิบายได้ยากว่าผมกําลังรู้สึกยังไง แต่ผมยังมีเรื่องที่อยากถามให้แน่ใจ.. "ทำไมมึงต้องห้ามตัวเอง... ไม่ให้สัมผัสกู...." ปุณณ์ส่ายหน้ากับตัวเองทั้งที่ยังหลับตาแน่น "เพราะสิ่งที่มึงหยิบยื่นให้กูมาคือความเป็นเพื่อนที่มีค่ามากกว่ากูจะทรยศมัน.. เพราะมึงเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เหมือนกันกับที่กูเป็น.. เพราะมึงมียูริข้าง ๆ เหมือนกับที่กูมีเอม... เพราะสิ่งที่กูคิดมันอาจจะทำให้มึงเกลียดกูจนไม่อยากเป็นเพื่อนกูต่ออีกเลยก็ได้.. มึงเข้าใจไหมว่าเหตุผลทุกอย่างบอกว่ากูจะเป็นแบบนี้ไม่ได้.. กูกําลังจะทำผิดต่อทุกอย่าง แล้วกู..... กู..... กูทำอะไรไม่ถูกแล้ว..." นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคนเก่งอย่างปุณณ์จนตรอก.... เสียงมันสั่นก่อนจะเค้นคำพูดออกมาอีกครั้ง "กู........ ไม่อยากให้ทุกอย่าง.. ผิดไปยิ่งกว่านี้อีกแล้ว..." คำพูดนั้นทำให้ผมสลดลงอย่างช่วยไม่ได้.. ในเมื่อ98
ใบหน้าสิ้นหวังของปุณณ์แจ้งชัดว่าเจ้าของมันกําลังอ่อนแอเพียงใด... ยํ้าเตือนผมว่าผู้ชายคนนี้ที่เห็นไม่ใช่ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ของใครต่อใคร ไม่ใช่แม้แต่เลขาฯสภานักเรียนผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ชายตรงหน้าผม... เป็นแค่ปุณณ์... ไอ้ปุณณ์........ เด็กผู้ชายธรรมดาที่อยู่ในช่วงจัดการความรู้สึกของตัวเอง.. แม้ทำท่าเหมือนจะไปไม่รอด ใบหน้าด้านซ้ายที่บิดเบี้ยวนั้นทำให้ผมต้องเผลอหลงมองปุณณ์อย่างหลงไหล... จนไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร สั่งให้ผมหยิบมือข้างนั้นมากุม ด้วยหวังว่า ความเข้มแข็งจะถูกส่งผ่านไป.. "ถ้าเราตัดเหตุผลทั้งหมดทิ้ง.... ถ้าไม่ต้องคิดว่าเราเป็นอะไร หรือความถูกต้องที่สมควรทำคือสิ่งไหน..." ผมพยายามค้นหาความจริงจากดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยคำถามของความไม่เข้าใจ "... สิ่งที่มึงอยากทำคืออะไร.." ปุณณ์มองหน้าผมที่สบตาเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวาดแขนข้างหนึ่งคร่อมตัวผมไว้ พร้อมมอบใบหน้าคมคายให้คล้อยใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ....... ทั้งหมดนี้เรียกความรู้สึกของวันก่อนที่ผมเคยมี ให้กลับมาอีกครั้ง ริมฝีปากหยุ่นสีอมส้มประชิดติดริมฝีปากของผม ก่อนจะกระซิบถ้อยคำหนึ่งแผ่วเบา.. ".. ผมอยากมีโน่.." หากเราปล่อยให้ช่วงเวลานี้ผ่านไป.. โดยไม่ต้องคำนึงถึงอนาคตที่จะตามมาเลย ได้ไหมนะ…. 99

LOVE SICK :: ชุลมุนกางเกงน้าเงิน EP.14



"สาดมาได้ ไอ้ห่า.... มึงแค้นจากที่ล้างมอไซค์ตอนนั้นใช่มะ" ผมบ่นไปบิดเสื้อนักเรียนชุ่ม ๆ ของตัวเองไป เมื่อมันเปียกซ่กตลอดทั้งตัว จนเปลี่ยนจากร้อนตับแตกให้กลายเป็นเย็นยะเยือกได้ในเวลาไม่ถึงห้านาที ไป ๆ มา ๆ สุดท้ายเลยต้องถอดเสื้อนักเรียนออกผึ่งคอมแอร์ไว้อย่างช่วยไม่ได้ "แล้วใครใช้ให้ไปนอนตรงนั้นวะ ผมจะรู้ได้ไงว่ามีไอ้เวรที่ไหนโดดเรียนนอนอยู่" แน่นอนว่าตัวปัญหาไม่เคยยอมความผม มันยังคงเถียงปนด่าไม่หยุด ทั้งที่ช่วยหาผ้าขนหนูจากห้องสภานักเรียนมาส่งให้ "นํ้าถูพื้นป่าวเนี่ยยยย" "บ้าดิ่! นํ้ากรอง! ผมจะเปลี่ยนถังนํ้าแล้วไอ้นี่มันอยู่ก้นถังเฉย ๆ" เออ ขอให้จริง.. ผมรับผ้าผืนเล็กจากมือมันเพื่อจัดการเช็ดผมที่เปียกแบบลวก ๆ โดยปล่อยให้ร่างกาย85
ท่อนบนเปลือยเปล่า ตากลมเครื่องปรับอากาศในห้องสภาอยู่อย่างนั้น.... ตอนนี้ไอ้โอมชิ่งหนีกลับห้องเรียนไปเรียบร้อยแล้วครับ กว่าจะไปได้ก็เล่นบ่นผมซะยกใหญ่ว่าเลือกทำเลไม่ดี ทำให้มันอดโดดเรียน บลา ๆๆ... แล้วผมผิดไหมวะเนี่ย!? ระหว่างที่กําลังคิดฟุ้งซ่านด่าไอ้โอมอยู่นั้นเอง ผ้าขนหนูใหญ่อีกผืนก็ถูกโยนลงมาซะก่อน "เอาไปคลุมตัว".... ปุณณ์บอกผมอย่างนั้น? ผมหยิบมาดูอย่างไม่เข้าใจ "ใช้ไอ้นี่อันเดียวก็พอ เกรงใจ" "อันนั้นด้วยแหละ เอาไว้....... คลุมตัว.." พูดอะไรของมันวะ ทำไมต้องคลุมด้วย ดูเหมือนมันจะอ่านสายตาขี้สงสัยของผมออก "เดี๋ยวหนาว" อ้อเรอะ.......... ผมพยักหน้ารับคำมัน ก่อนจะเอามาคลุมไหล่แบบลวก ๆ แล้วเช็ดผมต่อ ดีนะกางเกงไม่เปียกไปด้วย ไม่งั้นเซ็งเลย เวลาผ่านไป ภายในห้องสภาฯมีเพียงเสียงแอร์ที่ครางหึ่ง....... จนผมเริ่มรู้สึกอึดอัด "มึงไม่เรียนเหรอวะ" คนที่ตัดสินใจทำลายความเงียบคือผมเอง "ก็รอโน่ตัวแห้งก่อน..." "ไข้กลับอีกมั่งปะ" "ไม่.." "แล้ววันนี้เมินเราทำไม......." 86
"........................" คำถามนี้ไม่ใช่แค่คำพูดที่เผลอหลุดจากปากผมหรอกครับ แต่เป็นความตั้งใจจะถามมันจริง ๆ พร้อมสบตากลับไปด้วย เอาให้รู้กันไปว่าไม่ใช่ผมไม่รู้สึกอะไร ปุณณ์มองมาที่ผมวูบหนึ่งก่อนจะหันไปหยิบสมุดบนโต๊ะสภาฯ "........................ ตัวแห้งแล้วก็ฝากล็อคห้องด้วยนะ.. ผมไปเรียนก่อน" นี่คือคำตอบ ว่าปุณณ์ไม่อยากได้เพื่อนอย่างผมอีกต่อไป *** อันที่จริงแล้วเด็กม.ปลายคนอื่นเขาคงจะชอบช่วงเวลาหลังเลิกเรียนแบบนี้มากที่สุด.... เว้นแต่กับผม... ที่มักหวาดระแวงเสมอว่าจะมีใครโทรมาเรียกให้ไปที่ไหนรึเปล่า โบราณว่ายิ่งกลัวยิ่งเจอ...... ตกลงยูริเป็นคนหรือผีวะ... วันไหนผมเสียวสันหลังวาบ ๆ วันนั้นเธอจะต้องโทรมาเรียกผมให้ออกไปหาทุกที วันนี้ผมกลับมาที่สยามอีกครั้ง โดยมียูริเกาะแขนแจไม่ห่าง... เสียงแจ้ว ๆ ของเธอยังดังไม่หยุดแข่งกับเพลงในร้านแต่กลับไม่มีเสียงไหนสามารถแล่นทะลุผ่านหัวผมได้เลยสักนิด ผมยังคงคิดถึงคำพูดและท่าทางต่าง ๆ ของปุณณ์ที่รบกวนจิตใจมาตลอดวัน แม้จะรู้ดีว่าคิดไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมา 87
"โน่ว่าอันนี้น่ารักปะ ยูว่ามันน่าจะมีสีชมพูเนอะ แต่สีส้มก็สวยดี เราซื้อกันสองอันดีไม๊ ของโน่สีฟ้าไง...... โน่...... โน่??....... โน่!!!" ไอ้เสียงตะโกนเรียกชื่อผมรอบสุดท้ายนั่นเองที่ดึงผมออกจากภวังค์ จริง ๆ แล้วผมไม่ได้ยินคำพูดก่อนหน้านั้นหรอก แต่มาสะดุดหูอีกทีก็ตอนยูริเรียกชื่อผมครบเป็นครั้งที่สามพอดิบพอดี "คะ... ครับ??" ความเอ๋อของผมทำให้คนเรียกพองลมเข้าแก้มอย่างแสนงอน แต่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มออกมาในที่สุด "ยูเอาสีส้ม โน่เอาสีฟ้านะ" "อื้อ เอาสิ.... เท่าไหร่ล่ะ" ผมพยายามคลี่ยิ้มตอบเธอคนที่ไม่เคยงอแงผม พลางควักกระเป๋าสตางค์ออกมาเตรียมตัวจ่ายให้ ตามแบบฉบับแฟนที่ดีเขาต้องทำกัน "ยูซื้อเองก็ได้ ซื้อให้โน่ไง" "ไม่เป็นไรหรอก ยูซื้อให้โน่อันที่แพงกว่านี้ดีกว่า ถูก ๆ แบบนี้โน่ซื้อเอง" ผมพูดติดตลกทั้งที่จริงแล้วไอ้พวงกุญแจพลาสติกหน้าตาปัญญาอ่อนในร้าน Loft นี่มันก็ไม่ได้ถูกเท่าไหร่ ยูริหัวเราะร่า "ด๊ายยยยย..." เธอยิ้มอย่างดีใจก่อนจะพาผมไปชำระเงินบริเวณเค้าท์เตอร์ หลังจากรับพวงกุญแจนั้นใส่ถุงสีเหลืองของร้าน Loft มาแล้ว ยูริก็จัดแจงห้อยมันกับกระเป๋านักเรียนทั้งของเธอและผมทันที ผมยืนรอยูริที่ตั้งอกตั้งใจในการห้อยพวงกุญแจมาก สักแป๊บเดียวเธอก็เงยหน้ามายิ้มกว้างโชว์ผลงาน "อย่าทำหายนะ" "ครับ" เราควงแขนกันเดินวนรอบห้างอีกนิดหน่อย ก่อนที่เสียงยูริจะบ่นหิว อ้อนให้ผมพาข้ามจาก88
สยามดิสคัฟเวอรี่ไปสยามเซนเตอร์เพื่อหาอะไรกิน ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เคยขัด เราเดินคุยกันมาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าร้านหนังสือบริเวณทางเชื่อม.......... ที่ที่ยูริหยุดโบกมือให้ใครสักคน เอมกับปุณณ์!? ร้อยวันพันปีผมไม่เคยเจอพวกนี้บ่อย ๆ แต่ไม่รู้ทำไมช่วงหลัง ๆ มา ผมหนีมันไม่พ้นเลยสักครั้ง "ไปหาพวกเอมกัน!" ยูริพูดไม่ฟังคำตอบ เพราะพยายามดึงกึ่งลากให้ผมเข้าไปในร้าน โดยไม่สนใจผมที่พยายามขืนตัวและบอกยูริแล้วว่า "อย่าไปกวนเขาเลย" แต่เธอก็ยังไม่สน "บังเอิญจัง... เลิกเรียนเห็นยูรีบวิ่งออกมา กะแล้วว่าต้องมีนัดกับโน่" เอมเอ่ยปากแซวเพื่อนเป็นคำแรกทันทีที่เราทั้งคู่เดินไปถึง ในขณะที่ปุณณ์ยืนดูหนังสือเงียบ ๆ เช่นเดียวกับผมที่ไม่รู้จะเริ่มคุยอะไร "แหม.... ก็มีบ้าง.." หญิงสาวข้าง ๆ ผมยิ้มอวดเขี้ยวตาหยี ก่อนจะรีบคว้ากระเป๋านักเรียนสองใบที่ผมถืออยู่ มาอวดเพื่อนทันที "นี่ ๆๆ น่ารักไม๊ โน่ซื้อให้เมื่อกี้ล่ะ" "น่ารักจังงงงง! ปุณณ์ซื้อให้เอมมั่งสิ" ไอ้โรคไม่ยอมกันนี่สงสัยจะติดต่อในเด็กผู้หญิงทั่วภูมิภาค.. เพราะพอเอมเห็นพวงกุญแจ (ที่ผมว่ามันปัญญาอ่อน) บนกระเป๋าพวกเราปุ๊บ เธอก็หันไปกระตุกแขนเสื้อปุณณ์ที่อ่านหนังสืออยู่ทันที 89
เดือดร้อนไอ้ปุณณ์ต้องหันมามองอย่างสงสัย "หืม?" นัยน์ตาคมคู่นั้นหยุดที่พวงกุญแจพวกผมชั่วครู่ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองมาแว่บหนึ่งแล้วหันไปคลี่ยิ้มให้เอมต่อ "ก็เอาสิ..." "ซื้อเป็นคู่กันเหมือนพวกยูกับโน่เลยนะ" "ครับ.." "แหม ๆๆ เลียนแบบอ้ะ! แล้วสองคนนี้ดูหนังสืออะไรกันอยู่เนี่ย" ยูริเป็นฝ่ายตัดบทสนทนาเมื่อครู่ของทั้งเอมและปุณณ์ ก่อนจะถือวิสาสะพลิกหน้าปกดู "อื้อหืออออออออออ อะไรเนี่ย!!! หนังสือ wedding plan!!! เรียนยังไม่ทันจบม.ปลายเลยนะ!" นั่นทำให้ผมต้องหันไปมองแทบจะทันที ปุณณ์แสร้งทำเป็นหันหนีไม่สบตาผม ก่อนหมอนั่นจะคว้าเล่มใหม่เอามาพลิกดูต่อ (ตอนนี้หนังสือในมือมันเป็นเรื่องรถฟอร์มูล่า1) แว่วเสียงเอมหัวเราะแผ่ว ๆ "ดูไว้เฉย ๆ น่ะ ชุดมันสวยดี" "แหม... รีบร้อนจริงนะคู่นี้.... โน่.. เราดูกันมั่งมะ!" ยูริทำเสียงเล็กเสียงน้อยก่อนจะหันมาชวนผมอย่างซุกซนจนคนฟังต้องสะดุ้งเฮือก "จะ... จะดีเหรอ?" "ฮ่า ๆๆๆ" แต่เสียงเอมที่หัวเราะดังขัดขึ้นมาหลังคำตอบผม ส่งผลให้ยูริงอนแก้มป่อง "โน่ไม่รับมุกยูเลยอะ เสียใจ" ก็แล้วจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าเธอพูดเล่น!!! ถึงเราจะเป็นแฟนกันแบบเบลอ ๆ นัดเดทกันแบบเบลอ ๆ แต่ไอ้เรื่องจะให้เบลอ ๆ แต่งงานด้วยนี่ผมก็อยากจะมีสติคิดดี ๆ กับคนอื่นเขาเหมือนกันนะ -_-".... แน่นอนว่าผมถูกยูริทุบแขนซะสองทีเป็นการทำโทษ "งั้นไม่กวนละ ไปกินข้าวก่อน แล้วค่อยเจอกันพรุ่งนี้ที่โรงเรียนน๊า" หลังจากที่เรายืนคุยกันพอเป็น90
พิธีเสร็จแล้ว ยูริก็ตัดบทพลางโบกมือลาให้คนทั้งคู่ที่ในมือยังถือหนังสืออยู่ ผมโบกบ้าง และคงจะเดินตามยูริออกไปจนถึงหน้าร้านแล้ว หากไม่ได้มีมือมาคว้าเอาแขนผมไว้เสียก่อน!? ผมสะดุ้งนิดหน่อยพร้อมหันไปมองมือข้างที่จำได้ดี กําลังเลื่อนไปสอดนิ้วประสานกับนิ้วผมแน่น.. ทำอะไรของมันน่ะ!! ผมมองมือข้างนั้น สลับกับใบหน้าปุณณ์ และแฟนปุณณ์ที่ดูเหมือนนอกจากหนังสือแล้ว ก็ไม่ได้สังเกตอะไร ริมฝีปากจากปุณณ์ส่งรอยยิ้มบาง ๆ ให้ผมแว่บหนึ่ง พลางกระชับมือบีบมาแน่น ก่อนจะเป็นฝ่ายปล่อยออก.... ผมไม่รู้ว่าปุณณ์ต้องการจะบอกอะไร?...

LOVE SICK :: ชุลมุนกางเกงน้าเงิน EP.13



ผมโผล่มาโรงเรียนในวันจันทร์ด้วยใบหน้าอิดโรย.... ทั้งที่พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องเมื่อวันเสาร์แล้ว แต่สมองดันทรยศ.. เพราะไม่ว่าผมจะกําลังทำอะไร นั่ง นอน ยืน ดูบอล เล่นเกม หรือแม้แต่แค่ก้าวเท้าไปในห้องนอนตัวเอง.. สิ่งที่ผมเห็นยังคงเป็นใบหน้าของปุณณ์ซึ่งเข้ามาใกล้ที่สุดวันนั้น.. ตรึงไว้ให้หยุดมองแววตาจริงจัง ทั้งที่เป็นคู่เดียวกับที่เคยมอบความอ่อนโยนให้ใครต่อใครแท้ ๆ แต่ผมกลับไม่สามารถละสายตาไปทางไหนได้ 77
ความรู้สึกที่ว่าปุณณ์มีเรื่องราวมากมายอยากจะบอกผ่านดวงตาคู่นั้นยังคงฝังแน่นไม่ไปไหน.. ในขณะที่ผม สับสนมากกว่าจะปล่อยเรื่องทั้งหมดให้ดำเนินต่อไป หลังจากที่ผมผลักปุณณ์ออกและหนีไปหายาให้มันกิน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมแทบสั่นไปหมดทั่วทั้งตัว... ในเมื่อสิ่งที่ผมกําลังเผชิญอยู่เป็นความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน... ไม่ว่ากับใครผมก็ไม่เคยเป็น กับไอ้โอมที่เป็นเพื่อนสนิท โดนเนื้อโดนตัวกันขนาดไหนก็ไม่เคยเป็น หรือแม้กระทั่งกับยูริ ที่มักจะมาคลอเคลียอยู่เสมอ ก็ยังไม่เคยทำให้ผมรู้สึกแบบนี้มาก่อน... มันเป็นความรู้สึกที่น่าประหลาด เพราะผมเองทั้งเคลิบเคลิ้มและหวาดกลัวในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ แต่กลับมีบางอย่างตะโกนบอกผมว่าไม่ได้ อันที่จริงแล้วผมไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าใกล้ผมขนาดนี้เลยต่างหาก...... หลังจากนั้น สิ่งที่เหลือระหว่างผมกับปุณณ์มีเพียงความเงียบ.. ราวกับว่าเราทั้งคู่ต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ปุณณ์ก็ดูเหมือนมีเรื่องให้ทบทวนหลายอย่างขณะที่ผมสับสนเกินกว่าจะอยากชวนคุยอะไร หนึ่งวันผ่านไปโดยที่เราแค่เพียงถามคำตอบคำ จวบกระทั่งตอนเย็นอาการของปุณณ์หายดีแน่แล้วผมจึงขับรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งให้ที่บ้าน..... จนตอนนี้เราทั้งคู่ก็ยังไม่ได้เจอหรือคุยอะไรกันอีก.... น่าแปลกที่ผมรู้สึกโหวง ๆ ในอกเวลาไม่มีมันอยู่ข้าง ๆ ทั้งที่เป็นเวลาแค่ 4 วันเท่านั้น ที่เรื่องราวทั้งหมดระหว่างผมกับปุณณ์ได้เกิดขึ้น มันเป็น 4 วันที่ยาวนานจนผมยังไม่อยากเชื่อตัวเองเลยว่า เราช่วยกันสร้างเรื่องทั้งหมด จนเปลี่ยนจากคนเคยเห็นหน้าให้กลายเป็นเพื่อนสนิทได้อย่างหมดหัวใจ จริงอยู่ว่าผู้ชายเราสนิทกันง่าย เฮไหนเฮนั่นไม่มีเกี่ยง แต่ไม่เคยมีใครทำให้ผมสนิทใจได้มากและเร็วเท่ากับปุณณ์มาก่อน 78
มากจนถึงกระทั่ง............................. "เฮ้ย!!!!! มานั่งเหม่อเชี่ยไรแต่เช้าวะ!!" เสียงไอ้เชี่ยโอมดังในระยะประชิด แม่งโคตรจะขัดบรรยากาศแห่งความคิดของผม.. ไอ้บ้านี่มันน่ารำคาญจริง ๆ พับผ่า ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจมัน แกล้งฟุบหน้าลงกับโต๊ะหมายจะเนียนหลับ แต่มันเสือกรู้ทันคว้าคอผมให้เงยหัวตั้งขึ้นตามเดิมเสียก่อน "อย่าเพิ่งนอน! เมื่อวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ มึงไปไหนมา... สามวัน" ยิงคำถามเป็นชุด แถมเป็นคำถามแจ็คพอตเงินล้านทั้งนั้น จะให้ตอบยังไงล่ะครับ! "ทะ.... ทำไมล่ะ!" "แฟนมึงตามหามึงให้วุ่น เสือกปิดโทรศัพท์ทั้งสามวันเลยนะ" ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกฟังเสียงไม่ถนัด เพราะนํ้าเล่นท่วมปากมาเจียนมิดรูหู... คงเป็นเพราะวันศุกร์ กับเสาร์ ผมตั้งใจปิดโทรศัพท์เนื่องจากไม่อยากให้มีใครรบกวนปุณณ์ (เดี๋ยวจะป่วยหนักกว่าเดิมขึ้นไปอีก ผมล่ะขี้เกียจเข้าครัวบ่อย ๆ) แต่สำหรับวันอาทิตย์ที่ผมปิดโทรศัพท์นั่น......... ผมตอบไม่ถูกจริง ๆ.. ท่าทางไอ้โอมจะรู้ดีว่าต่อให้เค้นจนนํ้าลายแห้งยังไงก็คงไม่ได้คำตอบแน่.. มันถึงได้ถอนหายใจยาวขนาดนั้น "ถามจริง.......... มึงกับไอ้ปุณณ์มีอะไรกันรึเปล่าวะ?" "เฮ้ย!!!!!!!!!!!!?!??!!" ไอ้สัด!!!!!!! เจอแบบนี้ใครไม่ร้องไม่รู้แต่ผมร้อง!!!.. ดังเสียจนเพื่อนทั้งห้องหันมามองเป็นตาเดียว เดือดร้อนไอ้โอมต้องคว้าผมไปอุดปาก แต่มือแม่งเสือกเค็มชิบหาย "ไอ้บ้า!! เสียงดังหาเหล่าก๋งมึงเหรอ!" เหล่าก๋งกูเฝ้าเง็กเซียน!! 79
ผมดิ้นฟึดฟัดอยู่สองสามทีมันก็ปล่อย แล้วเริ่มพูดกับผมต่อ "กูหมายถึงว่า มึงมีเรื่องอะไรกับมันรึเปล่า... สามวันที่ติดต่อมึงไม่ได้ แฟนไอ้ปุณณ์ก็ติดต่อปุณณ์ไม่ได้เหมือนกัน....." "....................." โอมกับผมเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี.. ทำไมจะไม่รู้ว่าเวลาผมเงียบหมายความว่ายังไง "เออ.... ไม่อยากบอกก็ตามใจ... ทำอะไรคิดดี ๆ หน่อยแล้วกัน... อะนี่ เล็คเชอร์มึงเมื่อวันศุกร์ กูกะไอ้เก่งช่วยกันจดให้" มันว่าเสียงเรียบพลางยื่นสมุดปกบางให้ผม ผมรู้ว่าโอมไม่ได้พูดในแง่ที่รู้อะไรลึกซึ้งมากนักหรอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีความกล้าพอจะสบตาอยู่ดี "ขอบใจว่ะ" หลังจากที่รับสมุดเล่มนั้นมา ผมรู้สึกว่าไอ้โอมกําลังตบไหล่สองสามทีราวกับอยากให้กําลังใจ... เพื่อนมึงสบายดีน่ะ... ไม่เป็นไรหรอก *** หนึ่งวันของผมยังคงเป็นหนึ่งวันที่ไร้สาระเหมือนเดิม... จริง ๆ แล้วพูดให้ถูกก็คือชีวิตผมไม่เคยมีสาระนั่นแหละ.. นี่ขนาดอยู่ ม.5 แล้วนะเนี่ย คุณว่าผมจะเอนท์ติดปะวะ แต่ถึงจะคิดอย่างงั้นผมก็ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ เหอ ๆ อย่างน้อยถ้าผมซีเรียสคงไม่โดดเรียนคาบบ่ายมานอน80
กระดิกเท้าหลังตึก สบายกายอยู่กับไอ้โอมแบบนี้ ว่าแต่ทำไมชีวิตผมต้องมีไอ้ห่านี่ติดตูดเป็นแมงกุดจี่ดูดขี้ควายตลอดเวลาด้วยวะ ผมคิดพลางเหลือบมองแมงกุดจี่ที่นอนเอาซองไอพอดมาปิดตาไป งึมงัมฟังเพลงไป จริง ๆ แล้วผมก็บ่นไปงั้นแหละ ไม่มีมันแล้วจะรู้สึก... ว่าแต่สนามหญ้าตรงนี้มันเย็นสบายดีจริง ๆ สงสัยฮวงจุ้ยตึกเรียนคงบังแดดไว้มิดพอดิบพอดี จึงกลายเป็นอานิสงส์ให้ผมกลิ้งเล่นไปมาได้สบายใจ "ฮ้าว~... ขี้เกียจหวะ นอนถึงเลิกเรียนเลยดีมะ" "เออดี กูชอบ" ไอ้ห่า... ไม่เคยจะฉุดผมไปในทางที่ดีหรอก "จัดไป" ผมก็ไม่เคยชวนมันไปในทางที่ดีเหมือนกันแหละ ฮา... เราทั้งคู่ต่างนอนเงียบ ๆ กันอยู่หลังตึกอำนวยการ ซึ่งจริง ๆ แล้ว แค่บราเดอร์นึกคึกเปิดหน้าต่างออกมาก็คงเห็นพวกผมนอนอยู่ ซวยบรรลัย (เป็นแบบนั้นมีหวังป๊าได้บ่นหูชาอีกแหง๋) แต่ช่างมันเหอะ ต่อให้ไปหลับในห้องเรียนก็โดนด่า ค่าเท่ากันอยู่ดี ผมทอดสายตามองไปไกลถึงท้องฟ้าสีสวย ที่มีเมฆขาวลอยขนัด ย้ายสลับที่ไปมาจนกลายเป็นโรงละครย่อม ๆ แล้วแต่ผมจะจินตนาการ ผมเห็นก้อนเมฆรวมตัวกันบ้าง กระจายตัวบ้าง แยกเป็นช่องโหว่บ้าง แต่ก็ยังไม่ปรากฏนกบินผ่านซักตัว.. คงเป็นเพราะอากาศร้อนระอุจนไม่น่าขยับตัวไปไหนนี่ล่ะมั้ง ทุกอย่างจึงรวมใจกันนิ่งสนิท ไม่มีแม้แต่ลมจะผลักใบไม้สักใบให้ร่วงลงมา ผมเองตอนนี้ก็ไม่อยากจะขยับตัวไปไหนเหมือนกัน........ เมื่อคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเจอมาตลอดครึ่งวัน... ไอ้ปุณณ์เป็นบ้าอะไรของมัน ผมรู้สึกตะหงิดใจตั้งแต่เมื่อวันเสาร์แล้ว ที่มันเงียบไป... แต่ก็คิดตลอดว่าเปิดเรียนวันจันทร์มา คงจะไม่มีอะไร... จนได้รู้ว่าผมคิดผิดถนัด เพราะพอถึงวันนี้ ผมจึงเห็นว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด.. ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ผมก็จำไม่ได้หรอกว่า81
เมื่อก่อนเวลาผมเจอกับไอ้ปุณณ์มันเคยเป็นแบบไหน (จำได้ลาง ๆ ว่าอย่างน้อยก็ยิ้มให้ มีทักทายบ้างพอเป็นพิธี หรือไม่ก็วานให้ช่วยทำอะไรซักอย่างให้หน่อย) แถมไอ้ในวงเล็บที่เห็นอยู่คือเรื่องเมื่อก่อน 4 วันที่แล้วนะ แต่ทำไมพอหลังจาก 4 วันนั้นจนถึงวันนี้........... ทั้งที่คิดว่าเราสนิทกันมากขึ้นแล้วแท้ ๆ กลับกลายเป็นว่าแย่ลงทุกอย่าง? ตอนเช้าผมมาโรงเรียนแบบงัวเงีย ๆ (สายอีกต่างหาก)... เป็นเรื่องปกติที่จะต้องเจอปุณณ์แทบทุกครั้งเพราะหมอนั่นทำงานให้สภานักเรียน ก่อนเข้าเรียนจึงมักวนไปเวียนมาอยู่แถวตึกอำนวยการหน้าประตูรั้วให้ผมได้เห็นหน้าประจำ ผมเคยโบกมือให้มันเป็นกําลังใจเวลาทำงานก็บ่อย.. ถึงแม้ว่าวันนี้จะลังเลเล็กน้อยว่าควรโบกดีหรือไม่ แต่ผมก็พยายามทำให้ทุกอย่าง 'ปกติ' แต่ไอ้บ้าตัวที่มันเมินผมไปซะฉิบ ไม่แอบยิ้มแล้วโบกมือตอบเหมือนทุกทีนี่หมายความว่ายังไง!? ยอมรับว่าผมโคตรจะหงุดหงิด แต่ก็พยายามไม่ทำตัวคิดเล็กคิดน้อยแบบพวกผู้หญิง โดยการปลอบใจตัวเองว่ามันคงไม่ทันเห็น... ทั้งที่ในใจรู้ดีว่าเราสบตากัน ก่อนมันจะหันหน้าหนี แต่ผมก็บอกตัวเองอยู่เสมอว่าไม่มีเหตุผลอะไรจะทำให้ปุณณ์กลายเป็นแบบนั้น จนถึงคาบสาม ได้เวลาที่ผมต้องเปลี่ยนห้องเรียนจากห้องประจำไปแลปภาษา อันที่จริงแล้วไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะบังเอิญเจอกันระหว่างทางบนตึกอย่างนี้ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกกว่าปกติอะไร หากเราจะทำเนียน ๆ เดินผ่านโดยไม่ยอมทักกัน (ก็เมื่อก่อนผมกับมันไม่สนิทกันนี่) เพียงแค่วันนี้............... ผมรู้สึกแปลก ๆ ปุณณ์มันเป็นคนอัธยาศัยดี ใคร ๆ ก็รู้จักมันทั้งนั้น (ไอ้การรู้จักหมอนี่แบบห่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกครับ เรียนจบไปถ้ามันได้เป็น สส. ผมคงไม่มีวันแปลกใจ) ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมเห็นมันเดินยิ้มกว้างหัวเราะร่ากับเพื่อนมาแต่ไกล แถมยังโบกมือทักทายเพื่อนห้องผมตั้งหลายคนอีกต่างหาก ยิ่งกับไอ้รถเก๋งงี้ 82
ตบหัวกันตุ้บตั้บเสียงดังสนั่น กระทั่งมาถึงผม........... คุณลองคิดภาพเด็กผู้ชายอารมณ์ดีคนหนึ่งที่เดินยิ้มมาตลอดทาง จนมาถึงตัวผม.......... ผมเป็นตัวอะไรวะ... ทำไมเจอหน้าต้องทำเป็นนิ่งด้วย... ถ้าลองเป็นเมื่อก่อนผมคงช่างแม่งแล้วด่ามันลับหลังว่าไอ้ขี้แอ็คไปแล้ว แต่วันนี้ไม่ใช่ ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมหันไปคว้าแขนมันไว้โดยที่ตัวเองก็ยังคาดไม่ถึง เช่นเดียวกับไอ้ปุณณ์ที่ทำท่าตกใจมากอยู่ ระหว่างผมพยายามข่มความรู้สึกไม่ดีทั้งหมดแล้วพูดออกไปว่า "หวัดดี!" สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ....... เจ้าของแขนข้างนั้นมีปฏิกิริยาขืนตัวเองออก พร้อม ๆ กับดวงตาคู่ที่มักจะมองมาอย่างอ่อนโยน กลายเป็นผลุบลงตํ่า "หวัดดี........" นั่นคือเสียงเดียวของปุณณ์ที่ผมได้ยินในวันนี้... หลังจากนั้นผมก็เจอมันบ้างอีกประปรายระหว่างพักกลางวัน... แต่พอจะรู้แล้วล่ะว่าอีกฝ่ายไม่อยากเจอผมสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงถึงเวลาของผมบ้างที่ต้องเป็นฝ่ายหลบหน้ามัน ผมไม่อยากให้มันเจอผม.... เพราะหากปุณณ์ตั้งใจจะหลบผมอีก.................. 83
ผมคงทนยิ้มอยู่แบบนี้ไม่ไหว เสียงถอนหายใจยาวของตัวผมเองดังขึ้น เมื่อต้องวนคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา โชคยังดีที่ตอนนี้ยังมีลมเย็นพัดผ่านหลังตึกมาบ้าง.... พลอยทุเลาความเครียดที่ผมมีลงไปได้นิดหน่อย ปุณณ์มันเป็นอะไรวะ.. ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ ถ้ามันจะอาย คนที่ควรอายยิ่งกว่าน่าจะเป็นผม.. แล้วถ้าผมเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาแล้ว แต่มันยังวิ่งหนีอย่างนี้ล่ะก็ ..... ไม่อยากคิดต่อแล้วแหะ ผมหลับตาลงและปล่อยให้สายลมระใบหน้าไปเรื่อย อย่างน้อยก็รู้สึกเหมือนยังมีธรรมชาติช่วยปลอบใจอยู่บ้าง ผมรักอากาศเย็นที่วิ่งผ่านปลายจมูกผม เพราะมันให้ความรู้สึกเดียวกับที่เคยได้รับเมื่อวันก่อน อ่อนละมุนเหมือนกับลมหายใจของปุณณ์ที่ยังคงค้างอยู่บนปลายจมูก... ผมรู้สึกว่าตัวเองคลี่รอยยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อนึกถึงช่วงเวลา 4 วันที่ผ่านมา... แม้ตอนนี้จะไม่สามารถกลับไปเป็นเช่นนั้นได้อีกแล้ว แต่แค่ได้ย้อนกลับไปคิดถึงก็เป็นสุขใจ สายลมเอื่อยอ่อยยังคงวนเวียนตามตัวผมไม่ห่างไปไหน แม้จะทำให้รู้สึกเย็นขึ้นมาบ้าง แต่ความสบายมีมากกว่าจนขี้เกียจกระดิกตัวไปทำอะไร 84
'ซ่า!' ไอ้เชี่ย!!!!!!!!! คนนะไม่ใช่คอห่าน ราดนํ้ามาได้ไม่ดูตาม้าตาเรือ! ผมสะดุ้งตื่นเพราะความเย็นเฉียบของนํ้าเช่นเดียวกับไอ้โอมที่กระโดดหนีไปไกลลิบโลก (สงสัยมันกลัวนํ้ากระเด็นใส่ไอพอด) แม่งรักเพื่อนจริง ๆ... สรุปว่าใครบังอาจทำลายคาบบ่ายอันแสนสบายของผมวะเนี่ย!!!!!!!!!!! อย่าให้รู้นะ ถ้าไม่ใช่บราเดอร์ไม่เอาไว้แน่.... ผมคิดบ่นในใจเป็นชุดพลางขุดสารรูปอันเปียกปอนของตัวเองหันไปกลับไปตาขวางมองต้นเหตุที่ยังคงถือถังนํ้าคาไว้ในมืออยู่...... นั่นทำให้ผมพบว่า คนที่ถือถังนํ้าหลังหน้าต่างไม่ใช่บราเดอร์ แต่เป็น... "โน่........." "ปุณณ์.............. ?"