วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Love Sick 10th

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองฉายหนังซํ้า... เพราะกลับมาที่นี่อีกแล้ว แม้ว่าเมื่อวานจะเพิ่งมาไปก็เถอะ.. รอบตัวผมตอนนี้คราครํ่าไปด้วยนักเรียนนักศึกษาและคนทำงานหลากหลายรูปแบบ กำลังเดินกันยั้วเยี้ยอยู่ในสยามสแควร์ แหล่งที่มีวัยรุ่นขวักไขว่เป็นอันดับหนึ่งของกรุงเทพฯ... อันที่จริงแล้วสิ่งที่ผมชอบน้อยที่สุดรองจากงูก็การมาสยามหลังเลิกเรียนนี่แหละ เพราะแม่งวุ่นวายสิ้นดี ถ้าไม่ติดว่ามีเหตุการณ์ที่นํ้าหนักมากพอจะให้ผม.. ผู้ซึ่งโบกมือลากับไอ้ปุณณ์ไปแล้วเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน จะต้องแอบดอดตามมาจนถึงนี่.. ผมก็ไม่มาหรอก ผมคิดบ่นกับตัวเองพลางชะโงกดูร่างสูงโปร่งของปุณณ์ที่นำอยู่ไม่ไกลไปด้วย ก่อนจะลอบตามมันต่อไม่ให้ใครผิดสังเกต และเพราะเดินอยู่ข้างหลังแบบนี้เอง เลยได้แอบเห็นสาว ๆ ที่เดินผ่านมัน เหลียวหลังมองเพื่อนผมกันเกรียว... ก็ขำดีเหมือนกันว่ะ นี่ถ้าเดินมาพร้อมกันคงไม่ได้รู้ว่าเพื่อนผมมันมีดี ผมสะกดรอยตามไอ้ปุณณ์ไปเรื่อย ๆ จนถึงที่นัดหมายระหว่างมันกับ... เอม แต่ดูเหมือนว่าเอมจะยังไม่มาแหะ เห็นปุณณ์เปิดประตูเข้าไปในสตาร์บักส์ตึกใหม่ตรงข้าง ๆ พาคิโน่
แล้วก็นั่งบนเก้าอี้ริมกระจกให้เห็นได้ชัดโคตรสะใจ (จริง ๆ มันเป็นกระจกทั้งร้านอยู่แล้วครับ) ดังนั้นผมจึงแสร้งเดินไปเดินมาแถว ๆ ซอยร้าน jousse เพื่อจะเห็นปุณณ์ได้ถนัด แต่มันมองไม่เห็นผมหรอกครับ เพราะกำลังหันหลังให้ผมอยู่ ยิ่งเห็นปุณณ์นั่งอ่านหนังสือรอเอมอยู่ในร้านอย่างใจเย็นแล้วผมก็ยิ่งโมโหเดือด.. นี่ผู้หญิงคนนั้นบังคับเพื่อนผม (ที่ป่วยอยู่) ให้ออกมาหา แล้วยังจะมาช้าอีกเหรอวะเนี่ย... เดี๊ยะบั๊ดกัดหูขาด.. น่าหงุดหงิดจริง ๆ ผมเดินวนไปวนมาแถวนั้นเสียหลายรอบ จนพนักงานในร้านค้าเริ่มสงสัย อยู่ตรงนั้นนานถึงขนาดเดินเลยไปซื้อนํ้าดื่มที่บู้ทส์ กลับมาก็ยังเห็นปุณณ์แช่อยู่ที่เดิม??? นี่มึงนัดกับแฟนหรือแค่เปลี่ยนที่อ่านหนังสือเนี่ยยย จนมากกว่าครึ่งชั่วโมงผ่านไปนั่นแหละครับ ผมถึงได้เห็นเอมในชุดนักเรียนเดินสวยมาแต่ไกล โชคดีจริง ๆ ที่เอมขาวผ่องซะโอโม่ ผมเลยได้อานิสงส์หนีทันเวลาไปด้วย ว่าแล้วผมก็แปลงร่างเป็นลูกค้าเข้าไปในร้าน jousse เป็นการด่วน (แม่ค้าคงตกใจว่าเดินไปเดินมาหน้าร้านตั้งนานเพิ่งจะเข้า) เพราะชุดนักเรียนกางเกงนํ้าเงินของผมนี่มันเด่นน้อยอยู่ซะที่ไหน... สาวคอนแวนต์ตาไวกับสีกางเกงของพวกผมนักแหละ ผมทำเป็นเลือกดูเสื้อผ้าไป (ของผู้หญิงทั้งนั้น) เหลือบมองทั้งคู่ที่นั่งคุยกันอยู่ในร้านไป... ดูเผิน ๆ ก็ท่าทางร่าเริงเป็นธรรมชาติดีหรอก แต่ผมจำได้ว่าตอนที่ปุณณ์ออกมาจากบ้าน มันเริ่มมีอาการไข้กลับนิดหน่อย นั่นล่ะที่เป็นห่วง ผมรอทั้งสองคนดื่มกาแฟ กินขนมเค้กกันอย่างใจเย็น กว่าพวกเขาจะออกมากัน อืม...นานเป็นบ้า.. แต่เดินตามนี่ง่ายกว่าซุ่มดูเยอะเลยครับ.. อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ต้องหน้าด้านให้พนักงานร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงมองผมแปลก ๆ นั่นแหละ ผมเดินตามทั้งคู่ที่มุ่งหน้าไปทางบายพาส ก็พอจะเข้าใจว่า เอมเขาอยากได้รองเท้านี่นะ
แต่พอโผล่หัวเข้ามาในบายพาสก็ต้องตกใจกับปริมาณคนที่เยอะชิบหาย! เยอะจนน่ากลัวว่าไอ้ปุณณ์จะเดินไม่ไหวครับ! เพราะสาว ๆ มาจับจ่ายซื้อของก่อนเวลากลับบ้านกันเยอะมากในขณะที่ทางเดินมันก็แคบ ผมมองไอ้ปุณณ์อย่างเหนื่อยหน่ายใจ.. ไอ้พ่อพระนั่นก็ไม่สบายแล้วยังเสือกกระแดะถือกระเป๋านักเรียนกับถุงแฮรอดให้เอมอีก.. มันน่าบ้องกะโหลกนัก ทำตัวพระเอกไม่เข้าเรื่องนะมึง ผมเห็นเอมเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น แต่ไม่มีทีท่าจะได้รองเท้าหรืออะไรซักอย่าง ทำไมวะ มันหาซื้อยากขนาดนั้นเชียว? เอมตามหารองเท้าพระนเรศวรอยู่รึไง แล้วก่อนมาทำไมไม่คิดก่อนว่าอยากได้ของแบบไหน ร้านอะไร มาดึงเพื่อนผมเดินตามอยู่ได้ ผมยอมรับว่าหงุดหงิดมาก ขณะกัดหลอดนํ้าเดินตามทั้งคู่มาได้พักใหญ่ จนตอนนี้ชักจะเมื่อยเหมือนกัน... บวกกับท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มแล้วด้วย ในที่สุดเราสามคนก็ย้ายสถานที่จากบายพาสมาเป็นโบนันซ่าเรียบร้อย ซึ่งแน่นอนว่าคนเยอะกว่าเก่า.. -_-".. ไม่รู้จะแห่กันมาทำไม ร้านไหนแจกของฟรี จะได้เอากลับไปฝากม๊า -_-"... แต่ผมว่าอย่างเอมน่ะ ไม่ซื้อของจากบนนี้หรอก แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามคาด... ไอ้สองคนนั้นสับขาหลอกผมเดินวนไปวนมาในโบนันซ่า (เกือบหลงกันก็ตั้งหลายรอบ) วนแม่งตั้งแต่ชั้น 1 ยันชั้น 3 ทะลุออก 29 พลาซ่าอีกต่างหาก แต่เสือกเดินกลับออกมาแบบไม่มีอะไรติดมือเลยย นอกจากกระเป๋านักเรียนและถุงแฮรอดในมือปุณณ์ (แม่งทำไปได้ไง) หน้าปุณณ์มันจะตายห่าอยู่แล้วไม่เห็นรึไงวะเอม! ยิ่งตามสองคนนั้นไปเรื่อย ๆ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น เรากลับมาลัดเลาะอยู่ในซอยสยามสแควร์เป็นนานสองนานจนในที่สุดก็มาหยุดหน้าร้านเสื้อผ้าผู้หญิงร้านหนึ่งที่เอมพาปุณณ์ให้แวะเข้า
ไป ผมเงยหน้ามองป้ายร้านแบรนด์ indy ร้านหนึ่งที่ยูริก็ชอบอุดหนุนประจำ แล้วต้องส่ายหัวหน่าย... ร้านเล็กขนาดนั้นผมไม่เข้าไปหรอก ผมคิดก่อนจะตัดสินใจไปอ่านหนังสือรอหน้าดอกหญ้าแทน... นานพักใหญ่มาก ๆ จนผมจะอ่านขายหัวเราะจบ 3 เล่มอยู่แล้วกว่าทั้งคู่จะออกมา (แน่นอนว่าผมหลบเข้าไปในร้านหนังสือเรียบร้อย) จนแอบคิดว่าเอมจะเหมาร้านนั้นทั้งร้านเลยหรือเปล่า ภาพที่ผมเห็นหลังจากทั้งคู่เดินออกมาคือถุงใหญ่ในมือปุณณ์ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นรองเท้าหรือเสื้อผ้า แค่หวังว่าเธอจะปล่อยให้เพื่อนผมกลับบ้านไปนอนพักเสียที ว่าแต่....... แล้วนั่นจะเดินไปพาราก้อนต่อทำไม! -_-" ผมลากสังขารตามไอ้คู่รักสองคนนั้นต่อไปยังพาราก้อนอย่างไม่ลดละ แม่ง... ขนาดผมยังเหนื่อยเลยอะ แล้วไอ้ปุณณ์มันไม่เหนื่อยมั่งรึไงวะ ป่วยก็ป่วยยังถูกใช้ให้มาเดินมาราธอนอยู่ได้ ผมล่ะอยากจะโผล่ไปกระชากลากให้มันกลับบ้านเสียจริง ๆ แต่ขืนทำแบบนั้นปุณณ์คงไม่ปลื้มแน่ จริงอยู่ที่ทางเดินในพาราก้อนคนไม่ขวักไขว่เท่าฝั่งสยามสแควร์ แต่ก็กว้างงงงงงงงเสียจนแค่คิดก็เหนื่อย... นี่อย่าบอกนะว่าจะพาเพื่อนผมเดินขาขวิดรอบห้างนี่น่ะ ตายแน่ ๆ (ไม่มันก็ผม) ผมสะกดรอยตามทั้งคู่ไปเรื่อย ๆ จนพวกเขาหายเข้าไปใน shop หรูแบรนด์หนึ่ง (อี้ผมก็เป็นลูกค้าประจำแบรนด์นี้ครับ)... โอเคจบ... ไอ้เรื่องจะให้ผมตามเข้าไปนี่ไม่มีวันเห็น ๆ!!! เพราะเหตุนั้น ผมจึงได้แต่วนไปวนมาเป็นหนูติดจั่นอยู่แถวนั้นด้วยความเป็นห่วงไอ้ปุณณ์จนแทบบ้า.. นี่ผมเป็นห่วงมันมาก ๆ จริง ๆ นะ เพราะตอนก่อนหน้าจะเข้าไปในร้าน หน้ามันซีดเกือบจะเท่าตอนบ่ายแล้วเห็น ๆ
'ใครจะไปดีได้ทุกชั่วโมง ก็เรามันคนไม่ใช่ละครทีวี~' ชิบหายแล้ว!! โทรศัพท์มือถือผมทั้งร้องทั้งสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงจนต้องรีบลนลานรับสายทั้งที่ยังไม่ทันมองชื่อ "ฮัลโหล" "โน่ทำอะไรอยู่คะ" ยูรินี่หว่า!!!? ผมอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะระลึกชาติได้ว่าผมจะอึกอักทำไม ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย.. เออ.. "ธุระนิดหน่อยน่ะ.. ยูริมีอะไรรึเปล่า?" "เปล่าหรอกค่ะ ได้ข่าวว่าโน่ไม่ไปเรียน เลยโทรมาหาเฉย ๆ เป็นห่วงว่าไม่สบายรึเปล่า" คำพูดเหล่านั้นเรียกให้ผมยิ้มออก "ใครวิ่งไปรายงานล่ะ" "ยูมีสายสืบหรอกน่า... อิอิ ถ้าไม่ได้ไม่สบายก็ดีแล้วล่ะค่ะ แล้วโน่อยู่ไหนเนี่ย เสียงดังเชียว" แต่ขืนบอกว่าอยู่พาราก้อนรับรองว่ายูริได้แจ้นมาหาผมแน่ เพราะเธอมักใช้ชีวิตหลังเลิกเรียนอยู่แถว ๆ นี้เสมอ... คิดได้ดังนั้นสมองอันน้อยนิดของผมก็เริ่มประมวลผลทันที "ผมทำธุระอยู่น่ะ แค่นี้ก่อนแล้วกันครับ หวัดดีครับ" เอาเลยครับ! ใครจะว่าใจร้ายยังไงผมไม่สน ตอนนี้ขอรอดตัวก่อก็พอแล้วครับ ^^" หลังจากกดวางสายไม่นานเลยทั้งปุณณ์และเอมก็โผล่ออกมาจาก shop พร้อมด้วยถุงสีแดงจัด สกรีนอักษรโลโก้ร้านใบหนึ่ง... ผมเห็นทั้งคู่ยืนตกลงอะไรกันต่อนิดหน่อย ก่อนจะตัดสินใจเดินต่อไปยังบริเวณ
หน้าห้าง กลับแล้วใช่ไม๊!!! ต้องอย่างนี้สิโว๊ยยยย.. ผมเผลอยกกำปั้นขึ้นอย่างลืมตัวจนเกือบวิ่งตามสองคนนั้นไม่ทันแน่ะ! ที่หน้าห้าง ปุณณ์ยืนถือของทั้งหมด (กระเป๋านักเรียน ถุงแฮรอด และช้อปปิ้งแบ็กอีก 2 ถุง) รอแท็กซี่อยู่กับเอมซึ่งมีแก้วนํ้าปั่นที่แวะซื้อจากแถว ๆ food hall ในพาราก้อน ไว้ในมือ แต่แถวรอแท็กซี่หน้าพาราก้อนก็ยาวเหยียดพอ ๆ กับแถวจองตั๋วพี่เบิร์ด จนผมเริ่มสังเกตได้ว่าปุณณ์ดูโอนเอนกว่าปกติ ผมหรี่ตามองร่างสูงของเพื่อนที่ดูโงนเงนราวกับกำลังจะตั้งหลักไม่อยู่ ขนาดมองจากไกล ๆ อย่างนี้ยังเห็นชัดว่าน่ามันซีดเหมือนกระดาษจนผมกลัว....... แล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เป็นจริง ภาพปุณณ์ที่มือไม้อ่อนปล่อยของทุกอย่างในมือลงพื้นพร้อม ๆ กับที่ร่างกายทรุดตามลงไปด้วยนั้น ผมไม่มีทางปล่อยให้ฉายได้นานจนถึงช็อตสุดท้ายแน่นอน ทั้งตัวของผมกระโจนไปรับมันไว้ทันทีก่อนที่แรงดึงดูดของโลกจะดึงมันลงไปให้หัวฟาดพื้น ปุณณ์ตัวร้อนเหมือนกับผมกำลังจับไฟ "ปุณณ์!! มึงไหวป่าว!!" ผมถามทั้งที่ไม่ต้องการคำตอบ นอกจากส่งสายตาให้พี่ยามที่ตะลึงอยู่ช่วยลัดคิวโบกแท็กซี่ให้พวกผมด่วน "โน่!?" เสียงเอมเรียกชื่อผมด้วยความฉงน แต่ผมไม่สนใจอะไรแล้ว.. ผมลากไอ้ปุณณ์ที่ตัวร้อนจัดออกมาจากแถวรอขึ้นแท็กซี่ เพื่อพามันไปนั่งพักตรงหน้านํ้าตกก่อน จัดแจงคลายเข็มขัดให้ และเอาของเอมทั้งหมดที่ตกอยู่บนพื้นมาถือไว้เสียเอง เอมเดินตามมายืนข้าง ๆ ผม แต่ผมไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าผู้หญิงคนนี้เลย.. ผมรู้ว่าผมไม่ควรพาล.. จริง ๆ แล้วผมควรเกลียดตัวเองมากกว่าที่ปล่อยให้ปุณณ์มันออกมาจนเป็นอย่างนี้ "ปุณณ์มันไม่สบายน่ะวันนี้" ผมบอกเอมเรียบ ๆ แต่ไม่ได้มองหน้าเธอสักนิด จึงไม่รู้ว่าเธอกำลังมีสี
หน้าแบบไหน.. ผมยังห้ามความไม่พอใจของตัวเองไม่ได้ "โน่!!!!!" ชิบหายแล้ว!!! ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงแหลม ๆ ร้องเรียกชื่อผมมาจากที่ไกล ๆ โดยไม่ต้องมองก็รู้ดีว่านั่นเสียงใคร.... แห่กันมาทำอะไรตอนนี้อีกวะเนี่ยยย!!! "โน่อยู่แถวนี้ทำไมไม่บอกยูล่ะคะ อ้าว.. เอม? ปุณณ์?" ยูริที่ร้องเรียกชื่อผมเมื่อครู่วิ่งมาปรู๊ดดเดียวถึงตัวผม แต่ก็นับว่ายังฉลาดที่เมื่อเห็นปุณณ์นั่งไม่ได้สติอยู่ข้าง ๆ แล้วยังเงียบเสียงลงไป "ผมบอกแล้วว่าทำธุระน่ะ... อืม.. ยูริกับเอมกลับเองได้ใช่รึเปล่า ผมเอาปุณณ์มันกลับก่อนนะ" ไม่ต้องรอฟังคำตอบ ผมผลักข้าวของทั้งหมดคืนให้เอมทันที ก่อนจะพยุงร่างอันไม่ได้สติของปุณณ์เพื่อไปขึ้นแท็กซี่ที่พี่ยามอำนวยความสะดวกให้พวกเราเอาไว้แล้ว ถึงแม้มันจะค่อนข้างลำบากก็ตาม พามันกลับบ้านตัวเองทั้งอย่างนี้ต้องแย่แน่ ๆ.... เอาไปบ้านผมก่อนแล้วกัน

Love Sick 9th

'BOMMMMMMMMME' เสียงเกมแพ้ครั้งที่โหลพอดี ดังจากลำโพงโฮมเธียเตอร์ขนาดย่อมในห้องไอ้ปุณณ์มัน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนเยาะเย้ยด้วยคำว่า Game Over เป็นครั้งที่หนึ่งโหล จนต้องเขวี้ยงจอยในมือลงพื้นพรมหน้าทีวีอย่างขัดใจ XBOX บ้าบอไรวะ ไม่เห็นหนุกเลย เล่นไปก็แพ้ เซ็งว่ะ คอมขี้โกง... ผมคิด(โทษคนอื่น)พลางหงายตัวลงนอนบนพรมอย่างไม่รู้จะทำอะไร 'ใครจะไปดี ได้ทุกชั่วโมง ก็เรามันคนไม่ใช่ละครทีวี~' ใครวะโทรมาตอนนี้ ผมเหลือบตามองมือถือที่ทั้งร้องทั้งสั่นอยู่ข้าง ๆ กระเป๋านักเรียนบนโซฟา ใจหนึ่งก็ขี้เกียจเดินไปหยิบ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าโทรศัพท์จะเสียงดังเสียจนเจ้าของห้องตื่น คิดได้ดังนั้นผมก็กระโดดพรวดเดียวถึงตัวเครื่องทันที "ว่าไงครับไอ้สัด" ไอ้โอมครับ.. "ทำไมไม่มาวะ!!! วันนี้กูโดนบราเดอร์ทำโทษให้เอาขยะห้องออฟฟิศไปทิ้งตอนเย็นด้วย" เสียง
ตระหนกของไอ้โอมลอยมาตามสาย จนผมฟังแล้วอดขำสมนํ้าหน้ามันไม่ได้ "ทำอีท่าไหนบราเดอร์ถึงได้เล่นมึงล่ะ" "กูเล่น msn กระดาษกับไอ้ม้ง" "แล้วส่งกันยังไงให้โดนจับ" "ส่งผ่านเพื่อนมันไม่ทันใจ กูเลยเขวี้ยงไป บราเดอร์หันมาเห็นพอดี" ไอ้ควายยยยยยยยยยยยยยยย สมควรแล้วครับที่โดน "มึงกะลังคิดว่ากูควายใช่มะ ไอ้สัด" อ้าวแล้วไอ้ห่านี่มันด่าผมกลับทำไมวะ! "ว่าแต่มึงไปไหน ทำไมไม่มา แล้วใครจะช่วยกูทิ้งขยะ" สรุปที่มันถามมันไม่ได้เป็นห่วงผมเลย แม่งอยากได้คนช่วยนี่เอง ไอ้เพื่อนเวร "กูมีธุระนิดหน่อยน่ะ..." "ธุระไร หรือติดลมจากเมื่อวานกับยูริ หึหึหึ" เรื่องเหี้ย ๆ ล่ะคิดได้ ถ้ามันอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ ผมบ้องหัวเหม่ง ๆ ของมันควํ่าไปแล้ว "สัด" เป็นคำตอบที่สุภาพที่สุดสำหรับคนอย่างมันครับ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ยินไอ้โอมตอบโต้อะไรกลับมา เสียงแหบพร่าของปุณณ์กลับดังขึ้นเสียก่อน "หนะ... หนาว..... หนาว....." "มึงอยู่กับใคร?" ไอ้เชี่ยโอมนี่นอกจากปากมันจะหมาแล้วยังหูก็ยังเสือกดีเหมือนหมา แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลาอธิบายอะไรแล้ว "เออ แค่นี้ก่อนนะ"
"หนาว.... หนาว............." เสียงไอ้ปุณณ์สั่นขึ้นทุกที "มึงอยู่กับใครน่ะ??" "แล้วเจอกันวันจันทร์" ผมตัดบทมันแค่นั้นก่อนจะกดวางสายแล้วกระโดดไปคว้ารีโมทปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศทันที สามสิบไปเลยแล้วกัน ร้อนตายห่า ผมมองตัวเลขอุณหภูมิที่ถูกปรับให้สูงขึ้นพร้อมกับรู้สึกว่าตัวเองร้อนแปลก ๆ จึงถอดเสื้อนักเรียนออก พาดไว้บนโซฟา ก่อนจะเดินไปดูคนป่วยที่นอนขดอยู่บนเตียง ไอ้ปุณณ์ท่าทางจะหนาวจริง มันพยายามรวมผ้าห่มผ้านวมให้มาปิดตัวมันมากที่สุด ขณะที่ทั้งปากและเนื้อตัวสั่นไปทั่วเหมือนคนกำลังทรมานอย่างหนัก ต่อให้ผมโง่วิชาสุขศึกษาแค่ไหน แต่ก็พอจะรู้ว่านี่คงเป็นช่วงไข้ขึ้นตามที่มันเคยบอก.. แน่นอนว่าผมลุกลี้ลุกลนมากเพราะไม่เคยต้องดูแลคนเป็นไข้มาก่อน สิ่งแรกที่นึกออกคือยื่นมือไปแตะหน้าผากมันเพื่อจะพบว่าร้อนอย่างกับเตารีด!! ไม่ต้องไปหาหมอเหรอวะเนี่ย!!!!!!!! ผมยิ่งลนลานเข้าไปอีก ขาสั่งให้ตัวเองเดินวนไปวนมาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะคิดได้ว่าต้องออกไปตามหาใครซักคนมาดูอาการมัน แต่ในจังหวะที่กำลังจะวิ่งออกไปนั้นเอง ตัวผมทั้งตัวดันถูกดึงลงไปเสียก่อน!? "เฮ้ย!!" ผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขนร้อนผ่าวนั่นด้วยความตกใจ ไอ้เชี่ยปุณณ์มันละเมอดึงผมไปกอดอยู่บนตัวมันครับ แน่นด้วย ผมพยายามขืนตัวก็แล้ว ดิ้นให้หลุดก็แล้ว ไอ้บ้านี่มันก็ยังไม่ปล่อยผม แม่งคนป่วยห่าอะไร รัดซะแน่นอย่างกับอนาคอนด้า "ไอ้เชี่ยปุณณณณณ์ ปล่อยยยยย!!" ผมทั้งดิ้นทั้งด่าเพราะไม่ชิน และเพราะอยากจะรีบออกไปหาคนมาช่วยมันเร็ว ๆ ด้วย แต่เพราะหน้าผมถูกกดอยู่แถว ๆ ต้นคอมัน เสียงเลยเปล่งออกมาได้ไม่มาก มันก็ไม่รู้
เรื่องห่าเหวอะไรเลยครับ นอกจากเกร็งกอดผมแน่นยิ่งขึ้น "หนาว...... หนาว........." เสียงแหบนั่นยังคงร้องครางไม่หยุด จนผมเองที่ต้องเป็นฝ่ายหยุดดิ้น ผมโงหัวขึ้น (อย่างโคตรลำบาก) มองใบหน้าขาวซีดของปุณณ์ ที่ตอนนี้รอยแดงเริ่มหายไปบ้างแล้ว คงเหลือแต่ผิวซีด ๆ เข้ามาแทนที่... ผมมองหัวคิ้วเข้มนั้นที่ขมวดเข้าหากันอย่างคนทรมานเช่นเดียวกับดวงตาปิดแน่น ทั้งที่ในเวลาปกติตาคู่เคยนี้ส่องประกายทั้งสดใส ขี้เล่น และสุขุมไปในตัว ริมฝีปากที่เคยเป็นสีอมส้มโดยไม่ต้องแต่งแต้มแบบพวกผู้หญิงนั้น ตอนนี้ซีดจางลงจนแทบไม่เหลือเค้าผู้ชายสุขภาพดีคนเดิม ปุณณ์เป็นแบบนี้ไม่สนุกเลย.. ผมอยากให้มันหายเร็ว ๆ แล้วกลับมากวนตีนผมต่อ เมื่อเห็นดังนั้น สิ่งที่ผมทำในเวลาต่อมาคือตัดสินใจทิ้งตัวลงบนแผ่นอกกว้าง ที่เจ้าของมันโอบกอดผมไว้ ผมวาดแขนโอบมันกลับเมื่อเสียงครางว่าหนาวยังคงดังไม่หยุด ด้วยหวังว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ไม่รู้เป็นผมที่คิดไปเองหรือเปล่า ว่าปุณณ์คลายกล้ามเนื้อที่เกร็งลง พร้อมกับอุณหภูมิร่างกายเริ่มเข้าสู่ปกติ.. *** 'I could be brown, I could be blue, I could be violet sky~' ริงโทนโทรศัพท์เสียงไม่คุ้นค่อย ๆ ดังขึ้นจนแผดลั่นในความเงียบ เป็นสาเหตุให้ผมต้องเป็นฝ่ายงัวเงียตื่นขึ้นมาเพื่อจะพบว่าตัวเองกับไอ้ปุณณ์นอนกอดกันซะแทบจะเป็นเนื้อเดียว -_-" ที่สำคัญ ผมยังนอน
ควํ่าอยู่บนตัวมันว่ะ (เมื่อยชิบหาย) คนปกติเขาดูแลผู้ป่วยเป็นไข้กันท่านี้ป่าววะะะ (ไม่) 'I could be hurtful, I could be purple, I could be anything you like' มิสเตอร์ Mika ยังคงส่งเสียงร้องจากลำโพงมือถือไอ้ปุณณ์ไม่ยอมหยุด แม้ว่าผมจะชอบเพลงนี้เหมือนกัน แต่ก็ต้องสะกิดเจ้าของเครื่องแรง ๆ ให้มันตื่น ข้อหนึ่ง ผมหนวกหู ข้อสอง ช่วยปล่อยกูซักที!! ไอ้ปุณณ์สะดุ้งนิดหน่อยด้วยแรงสะกิด แต่ทันทีที่ลืมตามาเจอสภาพของเราสองคนก็ยิ่งสะดุ้งหนัก "เฮ้ย!!!!?" "ไม่ต้องเลย มึงแหละทำกู" แม่งตกใจอย่างกับผมไปปลํ้ามันงั้นล่ะ.. ผมพูดพลางเหล่ตามองเจ้าของปลายคางที่เฉียดจมูกผมไปหน่อยเดียว "ผะ... ผมทำอะไรโน่?" เสือกจะคิดลึกอีกนะ ไอ้เวร หน้ามันตกใจมากครับ.. นี่มันทำไม่ทำมันไม่รู้ตัวเองรึไง -_-" ผมล่ะเหนื่อยใจ -_-" "เปล่า ๆ มึงไข้ขึ้นตัวร้อนชิบหาย แล้วก็เพ้อว่าหนาวตลอด พอกูเดินมาจับตัวมึง มึงก็เห็นกูเป็นฮีทเตอร์ มัดกูไว้อย่างที่เห็นนี่แหละ" ผมอธิบายเป็นฉาก ๆ จนมันร้องอ๋อ พยักหน้าเข้าใจทันที ตอนนี้สีหน้ามันดีขึ้นมากแล้ว ไม่ซีดเท่าเมื่อบ่าย ผมก็ดีใจด้วย แต่............ "รู้แล้วก็ปล่อยกูซักทีสิวะ" "เออ โทษที ๆๆ" สิ้นคำผม มันรีบผละแขนตัวเองออกทันที เยี่ยม!.. ผมถอยมาลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางเอนคอซ้ายขวาแก้เคล็ดที่นอนผิดท่าเมื่อกี้เป็นการใหญ่ นอนบนคนนี่มันเมื่อยชิบหาย 'Why don't you like me? Why don't you like me? Why don't you walk out the door'
ถึงตอนนี้.. Mr.Mika ร้องเพลงจนจบท่อนฮุคเรียบร้อยแล้วครับ ผมล่ะกลัวว่าเขาจะเหนื่อยกับพวกไม่ค่อยสนใจมือถืออย่างพวกผม เลยหันไปมองโนเกียเครื่องสีดำบนโต๊ะแล้วมองหน้ามันต่อ "รับปะ?" "ดูให้หน่อยดิว่าใคร" แน้.... ใช้งานกูง้านเรอะ!? ผมเหล่ตามองมัน แต่ก็เดินไปดูให้แต่โดยดี วันนี้ยกให้มันวันนึงแล้วกันครับ หน้าจอโทรศัพท์โนเกีย N81 ปรากฏรูปคู่รักโชว์อยู่หราบนโต๊ะกระจก "เอม..." ก็แค่อ่านออกเสียงตามชื่อที่ขึ้นโชว์หน้าจอเท่านั้นเอง "อ้อ... เอามา ๆๆ" เสียงไอ้ปุณณ์เรียกพลางกวักมือยิก จนน่าหมั่นไส้... ใช่ซี่... แฟนทั้งคนนี่... ผมรีบเดินไปส่งมือถือให้มันรับสายโดยไวก่อนปลายสายจะโกรธ "ฮัลโหล หวัดดีครับ... ผม.. อยู่บ้านล่ะ...... หือ? มีอะไรหรือเปล่า?........ อ๋อ.. ขอโทษนะเอม พรุ่งนี้ได้ไม๊ วันนี้ผมไม่ค่อยสบาย อยากนอนพักจังเลย ขอโทษนะครับ" "ทาไมล่ะ!! ปุณณ์สัญญากับเอมไว้แล้วนะว่าจะไปด้วยกันวันนี้!!!!" O[]o!? หลังจากที่แอบสงสัยว่าเอมโทรมาทำไม ในที่สุดผมก็ได้คำตอบ เมื่อเสียงเอมแหวดังจากลำโพงโทรศัพท์จนต้องสะดุ้งโหยง แน่นอนว่าขนาดคนนั่งอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้เอาหูแนบโทรศัพท์อย่างผมยังได้ยินเสียงดังจนสะดุ้ง นับประสาอะไรกับปุณณ์ที่ถึงกับต้องยกมือถือห่างจากหูเดี๋ยวนึง.. มันหันมายิ้มแหะ ๆ ให้ผมที่ทำหน้าตกใจมองมันอยู่ "แต่ว่า......... อืม..... ครับ......... งั้นเดี๋ยวปุณณ์ไปรับที่หน้าโรงเรียนตอนเย็น.... แล้วเจอกันครับ.." "อย่าบอกนะว่ามึงจะออกไปเดท........" ป่วยไม่เจียมนะสาดด "ไม่ใช่เดทหรอก เอมจะไปซื้อรองเท้าน่ะ" มันตอบเนือย ๆ พลางวางมือถือไว้ข้างหมอน ผมคว้าเอาไปเก็บที่เดิมให้ ด้วยเพราะเคยได้ยินว่าวางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอนมันไม่ดีต่อร่างกาย แล้วดันทุรังจะออกไปข้างนอกทั้งที่ยังไม่หายไข้ดีก็ไม่ดีกับร่างกายเหมือนกัน
"เหมือนกันแหละ.. สภาพแบบนี้จะไปเหรอวะ" ผมถามกลับด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจมาก ๆ แต่ไอ้ปุณณ์แค่ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากแล้วหลับตาลงช้า ๆ "ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ... อีกอย่าง ผมก็สัญญากับเอมไว้แล้วจริง ๆ" เราอาจจะสนิทกันแล้วก็จริง... แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของมันได้ ผมไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากปล่อยให้ปุณณ์นอนพักต่อไป... ในขณะที่หัวผมยังคงครุ่นคิด

Love Sick 8th

ผมตื่นมาตอนเช้าพร้อมกับรอยแดงที่แขนเล็กน้อย... สงสัยจะเป็นเพราะแชมพูล้างรถเมื่อวานว่ะครับ แม่ง.. เอามาราดกูอยู่ได้ไอ้เวรปุณณ์ กวนตีนนัก... แขนขาว ๆ ของผมตอนนี้เลยมีรอยแดงเป็นปื้น ๆ เลย หมดหล่อพอดีครับ... ล้อเล่นน่ะ... เป็นแค่รอยนิดเดียวเองต่างหาก =p ของแค่นี้จิ๊บจ๊อยสบายมาก ไม่สะเทือนความหล่อของผมหรอก ฮ่า ๆ... เดี๋ยวนะ แว่ว ๆ ใครตะโกนมาว่าผมหนังหนา เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยครับ!!
พูดถึงไอ้ปุณณ์แล้วนึกออกเลยว่าเมื่อวานผมลืมนาฬิกาทิ้งไว้บ้านมัน (ถอดตอนล้างรถน่ะครับ กลัวน้องดีเซลจะจมนํ้าตาย) เดี๋ยวต้องโทรไปเตือนมันอย่าลืมเอามาให้ซักหน่อย ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายตายเอง เพราะตั๋วแปะผมเป็นคนซื้อมาฝากจากออสเตรเลีย คิดได้ดังนั้นผมก็กดมือถือโทรออกหามันทันที กดอยู่ประมาณสองครั้งครับ กว่ามันจะรับ อดคิดไม่ได้ว่าหรือมันจะไปถึงโรงเรียนเรียบร้อยแล้วเลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ แต่.... เออ! มันรับสายแล้ว!! "อืม... ว่าไงโน่..." เวรกรรม... ผมได้ยินปลายสายเสียงงัวเงียขนาดนี้แล้วเซ็งแดกว่ะ อย่าบอกว่ายังไม่ตื่นนะโว๊ย!!!! เจ็ดโมงกว่าแล้วมึง!!! "ไม่ไปเรียนรึไง นอนอยู่ได้" มันโดนผมประชดใส่ทางสายโทรศัพท์ แต่ยังมีหน้ามาหาวให้ฟังอีกแน่ะ! "เออ... ไม่ไปว่ะ โน่มีไรปะ" เฮ้ย!?! "มีสิวะ นาฬิกาข้อมือกูอยู่กะมึง" "อ๋อ อืม.. ผมเก็บไว้ให้แล้ว แต่เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันนะ วันนี้คงไม่ไปเรียนอะ" "เออ... ไม่เป็นไร... แล้วทำไมไม่ไปเรียนวะ" ดูเหมือนเสือก ๆ แต่ผมอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ เลขานุการสภานักเรียนดีเด่นอย่างนายปุณณ์ หยุดเรียนเป็นกับเขาด้วยเหรอวะ!? ยิ่งช่วงใกล้ ๆ งานบอลที่โคตรวุ่นวายแบบนี้อีก ฟังดูไม่น่าเชื่อแหะ เสียงปลายสายเหมือนจะอึกอักนิดหน่อยจนผมผิดสังเกต (หรือคิดไปเองหว่า) แต่มันก็สรรหาคำตอบ
มาบอกผมได้ในที่สุด "ไม่ค่อยสบายตัวน่ะ.. อื้อ... เอาไว้ค่อยคุยกันนะ ตอนนี้ผมง่วงมากเลย" "เออ ๆ" ผมตอบกลับไปอย่างนั้นแล้วกดวางสาย ทั้งที่ยังรู้สึกข้องใจไม่หาย.. ไม่สบายตัวงั้นเหรอ.... *** ไอโฟนในมือผมบอกเวลาแปดโมงกว่า ขณะที่มาหยุดยืนหน้าบ้านหลังใหญ่....... นี่ผมเสนอหน้ามาบ้านหลังนี้เป็นวันที่ 3 ติด ๆ กันแล้วนะ อะไรจะเป็นแฟนพันธุ์แท้บ้านภูมิพัฒน์ขนาดนั้นวะ -_-" ตกลงเอาไงดี.. กดออดดีไหม... ผมคิดพลางเดินวนกลับไปกลับมาหน้ารั้วอัลลอยด์สีเงินตระหง่านที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ทำไงดีวะ แปดโมงกว่าแล้วด้วย ผมแค่อยากรู้ว่ามันป่วยเป็นอะไรกันแน่ถึงไม่ไปเรียน แล้วถ้าเห็นว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิดอยู่ผมก็จะกลับไปเข้าเรียน.... แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิดล่ะ... เฮ้ย!....... ดูให้แน่ใจก่อนดีกว่า "อ้าว คุณโน่ มาเยี่ยมคุณปุณณ์เหรอคะ" โชคเข้าข้างโคตร ๆ ที่ป้าน้อยเดินผ่านมาเห็นพอดี ผมถึงกับรีบปรี่เข้าไปเกาะรั้วอย่างดีใจ "ครับ ปุณณ์มันเป็นไรอะป้า" "ก็ไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ... คุณโน่เข้ามาข้างในดีกว่า" หญิงสูงอายุตรงหน้าผมว่าพลางเปิดประตูเล็กให้ ผมยกมือสวัสดีป้าน้อยอย่างนอบน้อมก่อนจะก้าวผ่านเข้าไปในบริเวณบ้าน "ปุณณ์ป่วยเป็นอะไรอะป้า" อย่าคิดว่าผมจะเลิกล้มความพยายามในการยิงคำถาม หึหึ แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนของป้าน้อยแทนซะอย่างนั้น
นี่......... อย่าบอกนะว่าคิดแบบเดียวกันกับน้องแป้งน่ะป้า -_-"..... "คุณโน่ขึ้นไปดูก็ได้ค่ะ คุณปุณณ์นอนอยู่บนห้องแน่ะ" เอาวะ... อยากคิดอะไรก็เชิญ (ชินแล้ว) ผมผงกหัวให้ป้าน้อยก่อนจะเดินผ่านเข้าไปในตัวบ้านที่เริ่มจะคุ้นเคยดี ตามทางเดินชั้นสองที่มันวับ ประตูไม้เนื้อสวยไม่ไกลจากผมนั้นคือห้องนอนไอ้ปุณณ์... ผมเดินตรงลิ่ว ๆ ไปหยุดหน้าประตูและเริ่มใช้ความคิดนิดหน่อย.. บุกเข้าไปเลยแล้วกัน! ไหน ๆ ก็ถ่อมาถึงนี่แล้ว! ผมคิดพลางหมุนลูกบิดประตูเข้าไปอย่างไร้มารยาท ไอ้เรื่องจะให้เคาะบอกน่ะ ฝันไปก่อน "ไอ้ปุณณ์!" ผมส่งเสียงดังแบบไม่มีความเกรงใจ (และสมบัติผู้ดี) แต่แล้วก็ต้องหุบปากสนิท เมื่อเห็นเจ้าของชื่อนั้นกำลังหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเหมือนกับคนไม่มีเรี่ยวแรง เฮ้ย... ตัวแม่งแดงเกือบทั้งตัวเป็นปูนึ่งเลยว่ะ (หิว)... นี่สรุปว่าสิ่งที่ผมคิดมันเป็นจริง จริง ๆ ด้วย ผมปล่อยกระเป๋านักเรียนทิ้งไว้ข้างประตูแล้วปรี่เข้าไปดูมันที่หลับอยู่บนเตียงทันที ผิวของปุณณ์ที่ปกติแล้วเป็นผิวขาวออกเหลือง ตอนนี้กลายเป็นสีแดงจาง ๆ เหมือนคนมีอาการผื่นขึ้นทั่วไป แบบเดียวกับแขนของผมที่เห็นเมื่อเช้านั่นแหละ แต่ของปุณณ์มันไม่ได้หยุดแค่แขน แต่กลับแดงทั้งตัวจนน่ากลัวจะทรมาน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครผิด....... ผมคิดถูกจริง ๆ ที่แวะมาหามันก่อนไปโรงเรียนอย่างนี้ เพราะถ้าเก็บมารู้ทีหลัง ผมคงเกลียดตัวเองชิบหาย "ผิวแพ้ก็เสือกเล่นอยู่ได้นะมึง..." เสียงผมบ่นอุบอิบระหว่างล้มตัวลงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเตียงมัน หางตาเหลือบเห็นแผงยาเม็ดแก้แพ้ที่ถูกแกะไปแล้ว กับนํ้าขวดหนึ่งตั้งอยู่ นี่คงจะกินยาไปแล้วสิ... ก็ยังดีวะ "มึงแหละเอาสบู่ราดกู" อ้าว.... ตกลงไม่ได้หลับซะฉิบ!!! ไอ้ห่านี่กวนตีนตลอด "ไม่หลับแล้วเสือกแกล้งตายทำไม" ผมโวยมันกลับพลางเงื้อมือจะโบกกบาล แต่นึกสงสารคนเจ็บเลยสงวนท่าทีไว้ก่อนดีกว่า ไอ้คนป่วยตัวแดงตรงหน้าผมนี้ยังมีแรงยักยิ้มให้ผมอยู่ "เป็นคนดีนี่ มีการมาเยี่ยมด้วย" ตลก! "เปล่า.... กูมาเอานาฬิกา" แน่นอนว่ามันหัวเราะให้คำตอบงี่เง่า ๆ ของผมว่ะ... เออ ทีใครทีมัน "แล้ว.... กินยายัง" ผมเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม "นาฬิกาตั้งอยู่นั่น เอาเสร็จแล้วก็ไปเรียนดิ" เปื่อยแล้วยังเสือกกวนประสาทอีกนะ ไอ้เวรปุณณ์!! ผมเขม่นตามองมันอย่างอดทนที่จะไม่ทำร้ายร่างกายคนเจ็บ แล้วเดินไปหยิบนาฬิกาข้อมือตรงโต๊ะกระจกมันมาใส่ ก่อนจะนั่งแหมะลงบนโซฟาตัวยาวในห้องนอนมัน "ไม่ไป... กุขี้เกียจ นอนเล่นอยู่บ้านมึงดีกว่า" แว่วเสียงไอ้ห่านี่หัวเราะแล้วก็พาลเจ็บใจ... ไม่ติดว่ามึงป่วยเพราะกู กูก็ไม่มาหรอกโว๊ยย "แล้วเป็นไง.. เจ็บปะวะ" สุดท้ายก็ต้องถามถึงอาการมันจนได้... เจ้าคนป่วยที่นอนหลับตาอยู่งึมงำ
ตอบผมในลำคอ "คัน ๆ ว่ะ... แล้วแขนมึงล่ะเป็นไง" เออ.. สังเกตด้วยแหะว่าแขนผมแดง ผมก้มมองรอยปื้น ๆ ที่แขนตัวเองแล้วก็ยักไหล่ "ไม่เท่าไหร่ คันหน่อย ๆ" "ไปคันหน่อยระวังพี่เคนเขาก้านคอเอานะเว้ย ยิ่งหวง ๆ แฟนอยู่" ไอ้สัดนี่ "ไอ้สัด..." ปากผมตรงกับใจเสมอเรื่องด่า ๆ ครับ "หึหึ.. เอายานี่ไปทาดิ่ ช่วยได้เยอะนะ" มันว่าพลางชี้โบ้ชี้เบ้ไปทางหัวเตียงทั้งที่ยังไม่ลืมตา ผมมองตามปลายนิ้วมันเห็นหลอดยาทาแก้แพ้อยู่แล้วก็เดินไปคว้ามาลูบลงกับแขนตัวเองบ้าง "มึงทายัง" "ยัง ขี้เกียจ" "เอ๊า!! จะหายไหมล่ะวะ ทาเด่ะ" บอกแต่คนอื่น ตัวเองเสือกไม่ยอมทำซะงั้น ผมยืนมองหน้ามันที่ขมวดคิ้วแน่นอย่างเกียจคร้าน ไอ้ปุณณ์บิดขี้เกียจทีสองทีก่อนจะยอมลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยดูสบาย ๆ กับทุกสถานการณ์ กลับอิดโรยอย่างไม่น่าเชื่อ "ทาให้หน่อยได้ปะ ขี้เกียจว่ะ" กูว่าแล้วไงไอ้ปุณณ์... ไหนใครบอกว่ามันเป็นนักเรียนดีเด่น ขยันโง้นงี้ ท้าให้มาดูนี่เลย โกหกทั้งเพ "เออ ถอดเสื้อ ๆๆๆ" ผมว่าพลางนั่งปุลงบนเตียงข้าง ๆ มันแล้วกำหลอดยาไว้ในมือ รอจนมันถอดเสื้อเสร็จ เผยให้เห็นผิวขาวที่มีรอยแดงฉาบอยู่แทบทั่วทุกบริเวณ "เป็นเยอะว่ะ...."
"เออ ตอนบ่ายไข้จะขึ้น" ทำนายได้อีกนะมึง.. ท่าทางเป็นขาประจำ ผมบีบเนื้อยาสีขาวจากตัวหลอดมาพักไว้บนฝ่ามือ ก่อนตัดสินใจชะโลมไปให้ทั่วแผ่นหลังของมันก่อน จนฝ่ามือรู้สึกได้ถึงเม็ดเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้เมื่อลองทาบลงไป "จะหมดหลอดก็เพราะหลังมึงใหญ่นี่แหละ" ผมบ่นเพราะเห็นว่าทายังไงก็ไม่ทั่วซักที ไอ้บ้านี่เห็นผอม ๆ แต่โครงสร้างกระดูกไหล่กว้างสมเป็นผู้ชายจริง ๆ เสียงปุณณ์หัวเราะรับคำบ่นผม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหันหน้ามาให้เมื่อทายาทั่วทั้งหลังแล้ว "เหนื่อยปะ" ยังมีหน้ามาถามอีกนะ ไอ้ขี้เกียจจจ "เออ เหนื่อย! ข้างหน้าทาเองสิวะ กูไม่อยากทำให้มึงสยิว" ผมพูดทีเล่นทีจริง แต่กลับได้รับเป็นสายตามีเลศนัยของไอ้ปุณณ์แทน "แค่เมื่อกี้กูก็เสียวแล้ว" "ไอ้ห่า..... งั้นทาเองเลยสัด" ขนลุก!! ผมโยนหลอดยาใส่มันทันที ได้ยินเสียงมันหัวเราะร่า "ล้อเล่น! ทาก็ทาให้เสร็จสิวะ หนาว" "แล้วเสือกปรับแอร์ซะเย็นทำไม บ้าหรือโง่วะ" ผมบ่นกลับแต่ก็บีบยาก๊อกที่สองลงบนฝ่ามือตามบัญชา เสียงแอร์ดังหึ่ง ๆ เป็นสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบในขณะนี้.. ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับมันต่อดีว่ะ เพราะมันก็ไม่ได้ชวนผมคุยเหมือนกัน แบบนี้เลยยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเกร็งแปลก ๆ ผมยอมรับว่ามือสั่นนิดหน่อย ตอนเผลอสบตากับมัน ก่อนปลายนิ้วจะแตะลงบนแผ่นอกของ
คนตรงหน้า ปัดโธ่เว๊ย.. ตื่นเต้นทำไมวะ! ผู้ชายด้วยกันแท้ ๆ ไม่ได้อวบอึ๋มเหมือนใน DVD ที่ไอ้โอมบิทมาฝากผมซักหน่อย ผมพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจตัวเองช้า ๆ พลางเกลี่ยยาให้ทั่วแผงอกกว้างนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าปุณณ์มีรูปร่างที่ดูดีเลยทีเดียวว่ะ ผอม.. แต่ไม่เก้งก้าง กล้ามเนื้อก็ไม่มีมากหรือน้อยจนเกินไป นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นผื่นแดงทั่วตัวอยู่ล่ะก็ สาว ๆ ที่ไหนมาเจอก็คงอยากแอบอิง ผมคิดอะไรเพลิน ๆ พลางละเลงยาไปจนทั่ว ด้วยกลัวว่าถ้าทาน้อยเกินไปจะไม่สำเร็จผล ฝ่ามือของผมวนไปเรื่อย ตั้งแต่หัวไหล่ หน้าท้อง แผ่นอก จนตอนนี้มาถึงแผ่นอกด้านซ้าย.... ผมเกลี่ยยาไปทางนั้นพร้อม ๆ กับที่รู้สึกว่า สิ่งที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง กำลังเคลื่อนไหวรุนแรงอยู่อย่างประหลาด หัวใจเต้นแรง เร็ว ราวกับว่าเจ้าของมันกำลังตื่นเต้นกับอะไรซักอย่าง ปรากฏการณ์นั้นดึงให้ผมขมวดคิ้วมุ่น พลางหยุดทาบมือตรงบริเวณหัวใจดวงนั้น ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของมันที่เสตาไปทางอื่นเรียบร้อยแล้ว "อะไร... แค่นี้ทำเป็นหัวใจเต้น" หึหึหึ "ไม่เต้นก็ตายสิวะ" ดูมัน.. มันยังมีหน้ามาเถียงผมอีกครับ ไอ้ขี้อายนี่ก็ตลกดีเหมือนกัน ผมยิ้มเผล่ก่อนจะละเลงยาให้จนทั่วต่อไป แล้วบิดหัวนมมันซะหนึ่งทีอย่างหมั่นเขี้ยว "โอ๊ย!!!!!! เล่นไรวะ!!" "หมั่นเขี้ยว เออ เสร็จแล้ว นอน ๆๆ ใส่เสื้อด้วย เดี๋ยวเป็นหวัดอีกจะไม่มีคนไปจัดการเรื่องเงินชมรมกูที่โรงเรียน" ผมว่าพลางช่วยใส่เสื้อให้มัน แอบเห็นมันหันมาชูมะเหงกใส่ผมหนึ่งทีแล้วก็อดขำไม่ได้
"นอนก่อนนะ มึงเล่นเกมไปก็ได้ ข้าวกลางวันลงไปหากินเลย ไม่ต้องเกรงใจ" มันสั่งเสียไว้อย่างนั้นก่อนจะมุดผ้านวมนอนเหมือนเด็ก ๆ ผมผละออกมาจากเตียงมันพลางพยักหน้ารับ "แล้วตอนบ่าย... ไข้กูจะขึ้น.. ฝากด้วย" แว่วเสียงมันอู้อี้พูดต่อจากใต้ผ้านวมหนา "อืม" เวลาที่มีใครสักคนไว้ใจเรา หัวใจมันอดจะพองโตไม่ได้จริง ๆ นะ..

Love Sick 7th

"สวัสดีค่ะคุณปุณณ์ คุณโน่" ผมว่าผมมาแค่ไม่กี่ครั้งแต่แม่บ้านจำชื่อได้แล้วอะครับ คิดดู...... ผมยิ้มพลางผงกหัวให้หญิงมีอายุรุ่นราวคราวพี่แม่คนนี้อย่างนอบน้อม.. ก็แหม.. ถึงผมจะโวยวาย หยาบคาย แต่ผมก็มีมารยาทนะครับ เชื่อหน่อย!! "ป้าน้อย ป้าถามลุงหนันให้หน่อยสิว่าเอามอเตอร์ไซค์โน่ไปจอดไว้ไหน" ปุณณ์ถามถึงพาหนะคู่ชีพของผมให้ทันทีที่สาวสูงวัยเข้ามานำกระเป๋าของปุณณ์ไปทำท่าจะเก็บให้ ป้าน้อยได้ยินดังนั้นก็รีบหันมายิ้มอย่างใจดี "ตาหนันแกกำลังล้างให้อยู่น่ะค่ะ ที่จริงป้าบอกให้แกล้างตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่แกบ่นปวดหลัง เลยเพิ่งมีแรงออกมาล้างน่ะค่ะ" แล้วใครบอกให้ล้างล่ะครับป้า!!!!!!! โอ๊ยยยย ผมเกรงใจจะตายห่าอยู่แล้ว ทรมานคนแก่อีกเหรอเนี่ยเรา! "รถล้างอยู่ตรงไหนฮะ" ผมรีบยิงคำถามทันทีด้วยความร้อนใจ ไม่อยากจะรบกวนบ้านภูมิพัฒน์มากไปกว่านี้อีกแล้ว ยิ่งได้เห็นป้าน้อยยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู ผมก็ยิ่งเกรงใจหนัก "อยู่ข้างโรงรถน่ะค่ะ แต่ตาหนันเพิ่งจะเริ่มล้างเมื่อกี้เอง คงยังไม่เสร็จ รบกวนคุณโน่รออีกแป๊บนะคะ" เพิ่งล้างนี่แหละครับดี!! ผมได้ยินดังนั้นก็โยนกระเป๋านักเรียนให้ปุณณ์แล้ววิ่งไปโรงรถทันที
"ลุงหนันครับ!!!! ลุงหนันไม่ต้องละ.........." "ซู่!!!" ไม่ทันจนได้............ ตอนนี้น้องมอเตอร์ไซค์ของผมเปียกซ่กเรียบร้อยด้วยปลายสายยางจากลุงหนันแล้วครับ -_-"....... ออกมาห้ามไม่ทันแหะ -_-" "ขอโทษครับคุณโน่ ๆ ผมจะรีบล้างให้นะครับ" "ไม่เป็นไรฮะลุง ผมล้างเองดีกว่า ลุงไปพักผ่อนเถอะ นี่มืดแล้วนะ" ผมตอบลุงหนันพลางพยายามยื้อสายยางไว้ที่ตัวเอง แต่ลุงหนันดันวิ่งหนีไปอีกทาง เมื่อผมก้มลงมองนาฬิกาก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่าแล้ว ถ้ายังหน้าด้านปล่อยให้คนแก่ออกมาตากลมกลางคืนก็อย่าเรียกผมผู้ชายเลยครับ!!! "ไม่ได้หรอกครับคุณโน่... มันเป็นหน้าที่ของลุง" ลุงหนันตะโกนมาจากอีกฝั่งรถมอไซค์ "ไม่เอาน่าลุง ผมไม่บอกใครหรอก ลุงไปพักเถอะฮะ ผมล้างรถเองออกจะบ่อย" ผมตะโกนกลับไป "แต่คุณโน่เป็นแขก............." "เดี๋ยวผมกับโน่ช่วยกันล้างเอง ลุงหนันไปพักเถอะนะครับ.." เสียงที่สามดังขึ้นจากด้านหลังผม.. ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร เป็นไอ้ลูกชายคนโตเจ้าของบ้านนั่นแหละ ผมหันไปมองปุณณ์ที่เดินมาสมทบยิ้ม ๆ เป็นยิ้มของคนที่มั่นใจว่าลุงหนันไม่กล้าขัดคำสั่งแน่ "จะดีเหรอครับคุณปุณณ์...." "ดีที่สุดเลยครับ ลุงวางอุปกรณ์ไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวผมกับโน่จัดการเอง" ปุณณ์พูดแค่นั้น ก่อนจะเดิน
ไปขอสายยางมาจากมือคุณลุงคนงานประจำบ้าน แล้วมองตามหลังค่อม ๆ ที่กลับไปพักผ่อนยังส่วนของคนงาน "มา.... จัดการ" มันหันมาบอกผมพลางยิ้มเผล่ แต่ผมแค่เลิกคิ้วกลับให้มันกวน ๆ "คุณหนูปุณณ์ทำเป็นเหรอครับ" "อ้าว พูดงี้ก็สวยสิครับโน่" มันว่าพลางฉีดนํ้าใส่ผม เฮ้ยไอ้ห่า!!!!!!!!! กูเปียกมั่งเหอะ!!!!!!!!!! "สัด!! เปียกเว้ย!!!!!" "เสื้อผ้าผมทั้งนั้น กลัวไร" มันพูดล้อ ๆ แต่ก็จริงของมัน... ชุดนี้ก็ชุดมันทั้งชุด ผมมองตัวเองที่เปียกมะล่อกก่อนจะเงยหน้ามาเพื่อพบว่าไอ้ปุณณ์กำลังขมักเขม้นกับการถอดเสื้อตัวเองออกอยู่ "เฮ้ย!!!!?" "ตกใจไร จะใส่ชุดเต็มยศอย่างงั้นล้างรถเหรอครับ คุณโน่..." เสือกกลายเป็นว่ามันประชดผมกลับไปซะฉิบ... เออ ถอดก็ถอด.. ผมคิดในใจพลางส่ายหัวแล้วจัดแจงถอดเสื้อนักเรียนบนตัวเองออก คงเหลือแต่เสื้อกล้ามไว้กับตัว เพราะไอ้จะให้มาแปลงร่างเป็นชีเปลือยท่อนบนอยู่กลางโรงรถบ้านคนอื่นก็รู้สึกแปลก ๆ ไม่เหมือนเจ้าของบ้านอย่างมันนิ่!! ตอนนี้แม่งเหลือแต่กางเกงนักเรียนสีนํ้าเงินตัวเดียวเรียบร้อยแล้ว "ลุย!" ไอ้ปุณณ์แหกปากพลางวิ่งฉีดนํ้าไปรอบตัวรถ (จนผมล่ะกลัวใจรถจะพัง) โดยไม่ลืมจะฉีดใส่ผมด้วย (กูไม่ใช่มอเตอร์ไซค์โว่ยย) แต่อย่าคิดว่าผมจะยอม เพราะตอนนี้ผมได้สายยางมาไว้ในมืออีกอัน หึหึ.. บรรยากาศการล้างรถของเราเป็นไปอย่างสนุกสนานดี แม้จะมืดและยุงกัดไปหน่อย (ไม่หน่อยอะครับ กัดชิบหาย) ไอ้ปุณณ์อุทิศแปรงสีฟันใช้แล้วของมันมานั่งขัดท่อให้ผม ขณะที่ผมลงแชมพูรถทั่วคันไปด้วย (และแกล้งหยดแชมพูลงหัวมันเป็นระยะ ๆ) จะว่าไป ที่เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าไอ้ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ เป็นคุณหนูไฮโซตระกูลผู้ดีก็ไม่ผิดจากความเป็นจริงเท่าไหร่ (สังเกตจากบ้านหลังเบ้อเริ่มและแรงงานในบ้าน
มากมาย แถมยังจะให้ลูกชายดูตัวอีก ทำเป็นหนังไทยเมื่อยี่สิบปีก่อนไปด๊ายยย) เพียงแต่มันก็ไม่ได้เป็นคนเลิศหรูอะไรขนาดนั้น เห็นจากท่าทางขยันขันแข็ง (แรงงานกรรมกร) ช่วยผมขัดท่อมอเตอร์ไซค์คันเก่งไปด้วย คอยฉีดนํ้ารดส่วนที่ผมจะลงแชมพูไปด้วย แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าไอ้นี่มันพึ่งพาได้มากโขอยู่ เสียอย่างเดียว แม่งแกล้งกูจังงงงงงงงงงงงง "เฮ้ย!! จะล้างรถหรือรดนํ้าดำหัวกูวะ ไอ้ห่า!!!" ไม่ต้องแปลกใจครับ ยิ่งคุยกันก็ยิ่งสนิท คำหยาบคำเลวทั้งหลายก็ทะยอยออกมาเรื่อย ๆ.. แล้วอีกอย่างจะไม่ให้ผมด่ามันได้ไง ในเมื่อ 80% ของการล้างรถ ดูเหมือนมันจะพยายามล้างตัวให้ผมมากกว่า ไอ้สาดดด เสื้อกล้ามผมใส่ก็เหมือนไม่ได้ใส่อะครับ แนบเนื้อซะหนาวไปถึงไส้ติ่งเลย "หมั่นไส้ ใส่เสื้ออยู่ได้" อ้าว แล้วจะถอดบริจาคเลือดให้ยุงทำไมล่ะวะ!!! เลือดกูชั่ว ผมแกล้งราดแชมพูล้างรถใส่ตัวมันมั่ง "งั้นมึงอาบนํ้าเลยแล้วกัน อาบเสร็จแล้วกูจะได้ตัดแต่งขนให้" ฟองฟ่อดทั่วตัวเลยครับทีนี้ มันหน้าเหวอใหญ่ ก๊าก ๆๆ "เฮ้ย!! ไอ้เชี่ย!!! เดี๋ยวเป็นผื่น!!!!!" "เรื่องของเมิงเด่ะ!!!!!!!!" ผมโต้กลับพร้อมหลบฟองนํ้าขัดรถที่มันปาใส่ไปด้วย แต่หลบไม่ทันว่ะ เป็นอันว่าตอนนี้ตัวพวกผมสองคนฟองฟ่อดไปด้วยสบู่ล้างรถ ตายก็ตายด้วยกันนี่ล่ะครับ พี่น้อง มันดูท่าทางไม่ยอมแพ้ว่ะครับ... วิ่งไล่จับผมปลํ้าจะถอดเสื้อใหญ่ ฮ่า ๆ ไม่เคยรู้ว่าไอ้ปุณณ์คนเก่งของใคร ๆ จะบ้าดีเดือดได้ขนาดนี้เหมือนกัน แต่ก็ตลกดีว่ะ แล้วอย่างมันน่ะเรอะจะจับผมแก้ผ้าได้!! เร็วไปสิบชาติไม่ว่าสิโว๊ยย =p ผมกระโดดหนีมันทันที
เราสองคนวิ่งกันเป็นวงกลมรอบรถมอเตอร์ไซค์ มันยังจับผมไม่ได้ =p แต่ด้วยอารามที่พื้นโรงรถลื่นโคตร ๆ ทั้งนํ้าเอย แชมพูเอย แล้วยังอะไรต่อมิอะไรที่พวกผมเล่นกันเต็มพื้นไปหมด ยิ่งผมก้าวเท้าพลาดไปเหยียบลงบนฟองนํ้าขัดรถที่ไอ้ปุณณ์โยนมาเมื่อกี้ (ผมหลบไม่ทันอีกต่างหาก) ก็ยิ่งเสียหลักเข้าไปใหญ่ ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!" เสียงผมแหกปากดังลั่นพร้อมกับคิดว่ากูเจ็บตัวแน่งานนี้ หลังหักเดี้ยงต้องนอนบ้านมันอีกคืนทำไงวะ!! (กลัวยิ่งกว่าให้นอน รพ. อีก) "โอ๊ย!!!!" แต่สรุปว่าเสียงที่ครวญด้วยความเจ็บปวดนี่ไม่ใช่เสียงผมว่ะ... ผมหลับตาปี๋แต่ก็ระลึกได้ว่าตัวเองไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ "เฮ้ย!!! มาแอ็คเป็นพระเอกขี่ม้าขาวทำไมวะ!!! เจ็บไม๊ล่ะห่า!" เมื่อหันไปพบว่าไอ้คนที่มารองผมจากด้านหลังเอาไว้ทั้งตัวเป็นเจ้าของบ้านตัวดีนี่แล้วก็อดด่าไม่ได้... หืมม ทำตัวเป็นพระเอกแมนไม่เข้าเรื่องนะมึง ทีนี้เลยทั้งเจ็บทั้งหนักเลยสิ ไอ้คุณปุณณ์!! "ใครบอกว่าช่วยวะ!!! มึงแหละหงายมาล้มใส่กู!!!!!!!" อ้าวเหรอ.... แหะ ๆๆ ขอโทษทีว่ะ... ผมหน้าเจื่อนไปก่อนจะพยายามลุกจากตัวมัน (ตอนนี้ผมเปียกทั้งตัวแบบบิดนํ้าออกได้เป็นถังแล้วครับ) แต่มันคงไม่ทันรู้หรอกว่าแขนมันพาดรั้งเอวผมไว้อยู่ ตามสัญชาตญาณน่ะนะ แต่ไอ้เรื่องเหนือความคาดหมายของจริงน่ะ... มาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วต่างหาก.. "พี่ปุณณ์.... พี่โน่.........................?" ***
เสียงเครื่องยนต์รถมอเตอร์ไซค์คันเก่า (ที่ขัดจนใหม่แล้ว) ดังตามทางอันมืดมิดก่อนจะหยุดลงหน้ารั้วบ้านผมตามคำสั่ง อืม... จอดได้นิ่มดีมาก ไอ้สารถี! "หลังนี้เหรอวะ" มันพูดขึ้นหลังจากที่ดับเครื่องยนต์ลงหน้ารั้วบ้านสีนํ้าเงินของผมแล้ว นี่เป็นครั้งแรกของมันที่ได้มา แหมก็นะ..... บ้านผมไม่ใหญ่โตเป็นวังเท่าบ้านมันหรอก โทษทีว่ะ "เออ หลังนี้แหละ โทษทีที่ไม่ไฮโซ ฮ่า ๆๆ" ผมว่าประชดพลางเหวี่ยงขาลงจากเบาะหลังรถมอเตอร์ไซค์ ปุณณ์มันขี่รถมาส่งผมตามคำสั่งของน้องสาวมันครับ ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามันไม่ยอมขับมาส่ง ผมก็จะไม่ได้กลับ ต้องนอนจู๋จี๋กับมันต่ออีกคืน... บ้าไปแล้ว!!! ถ้าให้ผมอยู่กับมันต่ออีกคืน ผมว่ามันแห่ขันหมากมาสู่ขอผมแต่งเข้าบ้านเลยดีกว่า.. คนเขาก็ลูกมีพ่อมีแม่นะเฮ้ย!! (ของผมนี่ต้องบอกว่ามีอาป๊ากับม๊านะเฮ้ย!!) ถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุการณ์หลังจากเมื่อกี้ ที่ผมกับไอ้ปุณณ์โดนฟองนํ้าน็อคให้ล้มลงไปกองทับกันระหว่างล้างรถ เกิดอะไรขึ้นต่อไป... จริง ๆ แล้วคงเดาได้ไม่ยากใช่รึเปล่าครับว่าน้องแป้ง.... น้องสาวชาววายตัวดีของไอ้ปุณณ์ดันโผล่มาเห็นฉากเด็ดเข้า (จังหวะดีชิบหาย) ซึ่งไม่รู้จะจำกัดความว่าดีหรือซวยดี หรืออันที่จริงต้องบอกว่า เป็นผลดีมาก ๆ กับไอ้ปุณณ์ แต่ซวยชิบหายต่อชีวิตผม... แม่งงเอ๊ย!! จะแก้ตัวก็ไม่ได้ จะพูดอะไรต่อยังลำบากเลยครับ! (ภาพแม่งฟ้องซะ...) จนสุดท้าย ผมสองคนต้องนอนมองหน้าน้องแป้งที่รีบเอาผ้าขนหนูมาวางให้พวกผม แล้ววิ่งกรี๊ด ๆ (ด้วยความดีใจ) เข้าภายในบ้านไป... เออ ขำว่ะ ฮ่า ๆๆ ผมกับไอ้ปุณณ์นอนขำกันท้องคัดท้องแข็งอยู่บนพื้นโรงรถอย่างนั้น (แต่หลังจากที่ผมกลิ้งลงมาจากตัวมันแล้วนะเฮ้ย!!) ก่อนจะอุทิศตัวทั้งตัวให้กลายเป็นผ้าขี้ริ้ว นอนเอาหลังเช็ดพื้นโรงรถอย่างนั้นต่อไป มองดูท้องฟ้าตอนกลางคืน(ที่ไม่ค่อยมีดาว)จากโรงรถบ้านมัน(ที่เปื้อนสบู่ล้างรถ)ก็ทั้งสวยแล้วก็สบายใจดีไปอีกแบบเหมือนกัน "ไฮโซไรวะ บ้านโน่ก็น่าอยู่ดีออก" มันพูดตอบ ขัดจังหวะผมที่กำลังยืนเหม่ออยู่ (เกือบลืมไปแล้วว่า
คุยไรไว้) พลางช่วยเข็นรถมอไซค์เข้าบ้านให้หลังจากที่ผมเปิดประตูรั้ว ผมเป็นฝ่ายช่วยเข็นประตูบ้านปิด แล้วเปิดประตูเล็กให้มันแทน "เออ กลับดี ๆ ล่ะ กุไม่ไปส่งนะ" เพราะถ้าจะให้ไปส่งก็คงตลกเกินไปแล้ว มีหวังได้ส่งกันไปส่งกันมาทั้งคืนไม่จบสิ้นแหง๋ ๆ มันหัวเราะรับคำนั้นของผมก่อนจะโบกมือลาและเดินออกจากประตูบ้านไป "ส่วน.. เรื่องเงินชมรม" แต่มันหันกลับมาพูดเรื่องที่น่าสนใจโคตร ๆ เลยแหะ O.O "กำลังช่วยอยู่ รออีกซักพักนะ แต่สัญญาว่าได้แน่ ๆ" แค่ได้ยินแบบนี้ผมก็สบายใจแล้ว ^____^ ผมพยักหน้ายิ้มรับคำพูดนั้นของมัน ก่อนจะโบกมือลากันเมื่อมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างแถวนี้ผ่านมาให้มันโบกกลับพอดี ฮ้า... เป็นวันที่วุ่นวายแต่ก็สนุกดีนะ ได้สนิทกับปุณณ์นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน..

Love Sick 6th

"โน่!! ตกลงเรื่องค่ากลองเป็นไงวะ!!" โห สุดยอด........ รักผมกันสุดพลัง โผล่หน้ามาห้องชมรมปุ๊บ ถามถึงเงินก่อนเลย "ก็ไม่เป็นไงว่ะ ไม่ตาย แค่บาดเจ็บสาหัส นี่หนีตำรวจมาว่ะ เดี๋ยวกะจะไปกบดานแถว ๆ ภูเก็ต" ผัวะ!! "ไอ้ควาย... ตลกไม่เข้าท่า กูหมายถึง ค่ากลอง ไม่ใช่ ฆ่ากลอง... ระวังนะมึง ไปภูเก็ต เสร็จทุกราย" "นั่นมันเสม็ดพี่..." ถึงตอนนี้ผมไม่ค่อยแน่ใจว่ามุกใครควายมากกว่ากัน... ผมเดินหัวเราะหึหึผ่านตัวพี่นนท์ที่เพิ่งโบกหัวผมมา ก่อนจะเหวี่ยงกระเป๋า(ไอ้ปุณณ์) ลงโซฟาข้างเปียโน แล้วสอดส่ายสายตาหาเจ้าตัวปัญหา ที่ตอนนี้ก้มหน้าหลบสายตาผมวูบ.. แม่งก็รู้ตัวนี่หว่า "ระ.. เราไปเข้าห้องนํ้าก่อนนะ" มันจะหนีครับ... หน็อยยยยแน่ะ!! คิดว่าพ้นเหรออออ "ไม่ต้องเลยไอ้ง่อย!!! มึงทำกูเดือดร้อน!!!!!!" แน่นอนว่าไอ้ห่านี่ไม่ไวไปกว่าผมหรอกครับ ตัวเปี๊ยกแค่นี้น่ะ ผมตะครุบคอเสื้อมันไว้ทันก่อนที่จะหลบหนีสำเร็จ แล้วดำเนินการลากคอมาเสียบประจานกลางห้องชมรม
"ไอ้ห่านี่ไปนั่งหน้าเซ่อวันพิจงบให้พี่อั๋น-วรรณศิลป์ตัดเงินชมรมเรา ทำไงกะมันดี" อะฮ้า.. ดูเหมือนจะมีแนวร่วมแค้นไอ้ง่อยเพิ่มขึ้นตามลำดับแล้วครับ... "ถอดกางเกงออกแล้วเอาเมจิกเขียนช้างน้อยมัน" หูย... เรื่องเหี้ย ๆ อย่างนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าความคิดไอ้เป้อ.. มึงจะหวาดเสียวไปหน่อยมั้ง อีกอย่าง กูไม่อยากดูช้างน้อยมัน "ให้มันเต้นไก่ย่างหน้าเสาธงตอนเช้า" อันนี้ก็จะออกแนวสันทนาการบันเทิงใจเกินไป.. "ให้มันทำการบ้านเพื่อนทุกคนในชมรมเป็นเวลา 1 เดือน" ไม่เกี่ยวแล้วแหละ!!!!!!! "เอามันเป็นเบ๊ดีกว่า หลังจากนี้ไปจนกว่าจะหมดเทอม ไอ้ง่อยต้องเป็นเบ๊ชมรมเรา ทำตามทุกอย่างที่ทุกคนสั่ง" อืม..... "โอเคเลย... โอม คบกันมา 11 ปี วันนี้มึงพูดถูกใจกูสุด" ผมหันไปตบบ่าชมมัน มันยิ้มรับคำพูดผมได้แป๊บนึงแล้วก็หุบยิ้มทันที "แล้วเมื่อ 11 ปีที่ผ่านมากุเป็นไงวะ" "กูครุ่นคิดมาตลอดเลยว่าจะไปขอซื้อตะกร้อต่อจากคนงานก่อสร้าง.. จะได้เอามาครอบปากให้มึง" เรียกเสียงฮาได้ทั่วทั้งห้องชมรม เว้นแต่ไอ้โอมปากหมา ที่โดนผมหลอกด่าไปเมื่อครู่ "ไอ้ควาย... มันคนละอันกัน ฝากไว้ก่อนเหอะมึง คราวหน้ายูริโทรมากูจะจีบให้เข็ด" "แล้วใครห้ามมึงไม่ให้จีบวะ ขอให้จีบติดนะ" สาธุ... ผมอวยพรส่งให้เลย อย่าหาว่าโง้นงี้ ยูริน่ารักดีก็จริง แต่เรื่องจริงยิ่งกว่านั้นคือ ผมไม่ได้ชอบเธอ "โห๊.. ไอ้ขุนแผน... มีสาวสวยมาก้อร่อก้อติกหน่อยล่ะทำเป็นหยิ่ง เค้าทิ้งไปจะรู้สึก"
"เหอะ... กูน่ะโรมิโอ" "แล้วไม่ไปหานางวันทองรึไง ไหนว่านัดไว้เย็น ๆ" ไอ้สัดนี่ โรมิโอบ้านพ่อมึงสินัดกับวันทอง.. แต่เออว่ะ... พูดแล้วนึกออก ผมบอกว่าจะไปตอนเย็น ๆ ก็จริงอยู่ แต่ในชมรมมันดูไม่มีอะไรให้ผมช่วยเลยนี่หว่า รุ่นน้องตรงหน้ามันรอซ้อม marching band สำหรับงานบอลก็จริง แต่โต้โผงานนี้เป็นไอ้ฟิล์ม(รัฐธรรมนูญ) ไม่ใช่ผม "เออ จะไปละ... สรุปว่าเรื่องเงินชมรมอีกสองหมื่นกูไปคุยกับสภาฯแล้วนะ เดี๋ยวทางนั้นเขาจะจัดการให้ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง.... มั้ง" ผมพูดพลางจะหันหลังกลับ แต่เสียงเห่าหอนของไอ้โอมยังคงดังไม่หยุดปาก "แหง๋ล่ะสิ โน่ลงทุนไปขายตูดให้ไอ้ปุณณ์นี่หว่า.." ใครแมร่งเหยียบหางไอ้ห่านี่วะ...หอนจัง.. กุเพิ่งพูดอยู่แหมบ ๆ ว่าอยากเอาตะกร้อครอบปาก หลังจากวันนี้ไปคงต้องหามาครอบจริง ๆ แล้วล่ะมั้ง.. ผมคิดไปพลางหันซ้ายขวาหาที่มัดปากชั่ว ๆ ของมันไป "จริงเหรอฮะพี่โน่!!!!!!!!?!!" "เชื่อมันก็ออกลูกเป็นจามรีแล้วล่ะครับ น็อต.. เออ สรุปว่าจัดการเรื่องเงินให้แล้วนะ วันนี้ไม่มีอะไร ทุกคนนั่งรอไอ้ฟิล์มไป กูขอกลับก่อนล่ะ ไอ้ง่อย!! มึงอยู่ปิดห้องด้วย ถ้ารู้ว่าเหตุการณ์ไม่เรียบร้อยหรือของหาย มึงตายย!!" ผมสั่งแกมขู่มันเอาไว้ เห็นหน้าขาว ๆ นั่นเหงื่อแตกซีดแล้วไม่วายขำ โกรธมันก็จริงอยู่ แต่เรื่องของเรื่องคืออยากแกล้งแม่งมากกว่า "เออ บาย เจอกันพรุ่งนี้" หลังจากรํ่าลากับทุกคนเสร็จ ผมก็มุ่งหน้าออกไปยังประตูโรงเรียนทันที *** จริงอยู่ที่ว่าผมไม่ได้ออกจากโรงเรียนเย็นเท่าที่โม้กับยูริไว้ แต่กว่าจะฝ่ากำแพงรถติดหน้าถนนเจริญกรุง
(หลับไปแล้วเป็นสิบตื่น) รอดออกมาลัดเลาะในเมืองหลวงจนถึงสยามได้นี่ก็หนักหนาเอาการเลยทีเดียว กระทั่งเวลาฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม ๆ ที่รถแท็กซี่คันโทนแดงแรงฤทธิ์ของผมจอดหน้าลานเซ็นเตอร์พ้อยท์อย่างนิ่มนวลประทับใจ ผมงก ๆ เงิ่น ๆ ควักแบงค์สีเดียวกับรถจ่ายก่อนจะเดินลากขาตามทางผู้คนพลุกพล่านผ่านหน้าจอ screen shake ขนาดใหญ่ ว่าแต่.... มันไม่ยังเย็นเท่าไหร่เลยว่ะ.. โผล่ไปตอนนี้ยูริจะคิดเอาเองรึเปล่า ว่าผมรีบออกมาหาเธอด้วยเพราะมีใจปฏิพัทธ์เนี่ยยยยยย!! แต่ก็ช่างเหอะ.. ถ่อมาถึงแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร ไอ้จะให้ไปเดินเที่ยวช้อปปิ้งในซอยสยามนี่ก็ไม่ใช่วิสัยผมซะด้วย รีบ ๆ ไปหาจะได้รีบ ๆ กลับไปนอนเล่นเกมดีกว่า คิดได้เช่นนั้นผมก็พาตัวเองมุ่งหน้าไปยังร้านบ้านหญิงทันที เสียงพนักงานต้อนรับขานเจื้อยแจ้วทักทายผมที่เปิดประตูเข้ามา พร้อมกับเสนอบริการหาที่นั่งให้เสร็จสรรพ... อืมม บริการดีเหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้คนที่ผมนัดไว้คงนั่งหัวเราะร่าอยู่บนชั้นสองของตัวร้านเรียบร้อยแล้ว "ไม่เป็นไรครับ นัดเพื่อนไว้" ผมตอบพวกพี่เขาสั้น ๆ พร้อมผงกหัวแค่นั้นก่อนจะปลีกตัวขึ้นชั้นสองของร้านไป.. แน่นอนว่าโต๊ะของยูริหาไม่ยากเลย ในเมื่อเป็นกลุ่มหญิงล้วน ต่อโต๊ะยาวซะขนาดนั้น แล้วนั่นแห่กันมาทั้งโรงเรียนเลยเหรอครับเนี่ย!! "โน่!!! มาเร็วจัง!" วันทอง เอ๊ย! ยูริเห็นผมทันทีที่ปรากฏตัวบนชั้นสอง ตาไวจริง ๆ พับผ่า!! ผมผงะไปชั่วครู่ก่อนจะเกิดความลังเลว่าควรเข้าไปแจมโต๊ะหญิงล้วนขนาด 20 คนโต๊ะนี้ดีหรือไม่
"อ้าวโน่.............." แต่เดี๋ยวก่อนนะ... เสียงนี้คุ้น ๆ ว่ะ...... ไม่ใช่เสียงผู้หญิงซะด้วย... แล้วถ้าความจำผมไม่ผิด มันคือ............... "เฮ้ย!!!!!" โผล่มาอยู่นี่ได้ไงวะ!!!!!!!!!!!!!!? "มาด้วยก็ไม่บอก จะได้ออกมาพร้อมกัน" ยังมีหน้ามาพูด.. แค่เจอมึงนอนอยู่ข้าง ๆ ทั้งคืนกุก็เซ็งจะตาย Ha อยู่แล้ว ยังต้องมาเจอแม่งหลังเลิกเรียนอีกเหรอวะเนี่ยยยย!! ชาติที่แล้วกูกับมึงไปทำบุญร่วมกันมาที่วัดไหน กูจะได้ไปอธิษฐานล้างซวยถูก ผมโวยวายในใจไป มองหน้าไอ้ปุณณ์ไปอย่างบรรยายไม่ถูก.... ว่ากำลังทำหน้าตกใจ หรือเซ็ง หรือเบื่อ ไม่น่าลืมเล๊ยยยว่ายูริกับเอมเขาเป็นเพื่อนกัน ถ้าลองนัดกลุ่มใหญ่ขนาดนี้แล้วจะเจอไอ้ปุณณ์พ่วงมาด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก "โน่มานี่สิ ยูสั่งมันเบรคแตกที่โน่ชอบไว้ให้ด้วยนะ" เสียงยูริเจื้อยแจ้วมาจากหัวโต๊ะเบื้องหน้าผม เรียกให้มองใบหน้าขาว ๆ นั้นที่ฉีกยิ้มให้ผมอยู่ มองยิ้มกลับไปพลางคิดว่าถ้าต้องไปนั่งตรงนั้น สงสัยจะเซ็งยิ่งกว่า.. คิดได้ดังนั้นผมก็เบียดตัวเองลงนั่งข้างปุณณ์ทันที "อ้าว???" มันส่งเสียงร้องเบา ๆ อย่างฉงน "เออน่ะ.. ขอนั่งด้วย ตรงนั้นน่ากลัว" ผมกระซิบตอบพร้อมพยักเพยิดไปทางหัวโต๊ะที่ยูรินั่งอยู่ ตรงนั้นมีเพื่อนผู้หญิงรายล้อมนับสิบ จนไอ้ปุณณ์ต้องหัวเราะร่วน ราวกับกำลังชอบอกชอบใจ "ฮะฮะฮะ.. ตอนแรกผมก็กลัวว่ะ ดีใจนะเนี่ยที่ได้โน่มาเป็นพวก" มันได้ทีพูดเสียงใส เห๊อะ! ไม่ใช่สถานการณ์แบบนี้ กรูไม่มานั่งอิงแอบแนบชิดกะเมิงให้เสียวตรูดหรอกโว๊ยย "ปุณณ์กับโน่สนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย?" เออ ผมเกือบลืมไปเลยว่าปุณณ์มันมากับแฟนมัน จนสำเนียงรื่นหูของเอมดังขึ้นจากฝั่งตรงข้ามที่ผมนั่งอยู่นั่นแหละถึงได้นึกออก เอ.. ตูนี่ก็มานั่งเบียดแฟนชาวบ้านเขาอยู่ได้ แย่จริง "เฮ้ย!! ลืมไปว่ามากะแฟน งั้นเราเฟดดีกว่า โทษทีว่ะ" ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้นของเอม(ไม่รู้จะตอบไงว๊ะ)
แต่หันไปผงกหัวปลก ๆ ให้ปุณณ์ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมทำใจไปนั่งข้างยูริที่กวักมือชวนผมยิก ๆ แล้วก็คงเดินไปถึงนั่น นั่งกินมันเบรคแตกสบายไปแล้ว.... ถ้าไอ้ปุณณ์ไม่ได้คว้าข้อมือผมเอาไว้ซะก่อน "เฮ้ย!! คิดมากไรวะ นั่งนี่ก็ได้ถ้าอึดอัด" ปุณณ์ไม่รั้งผมไว้เปล่า ยังฉุดให้ล้มลงมานั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับมันแบบเดิมอีก แน่นอนว่าหน้าผมเหวอแดก ขณะที่ยูริที่กวักมือเก้อ แถมเริ่มขมวดคิ้วทำท่าจะงอน ... เฮ้ย ๆๆ ไม่ง้อนะ บอกไว้ก่อน "เมื่อคืน เพื่อนที่ปุณณ์บอกว่ามาค้างที่บ้านคือโน่เองเหรอคะ?" เสียงหวาน ๆ ของเอมยังคงป้อนคำถามให้ผมต่อ ทำเอาผมอึกอัก พูดลำบาก เหมือนมีตระกร้อครอบปากไอ้โอมมาครอบปากผมเลยว่ะ.... เอ่อ... จะตอบว่าไงดี... มันจะดูแปลก ๆ รึเปล่าถ้าพูดไปตามจริง... ผมชักระแวงใจตะหงิด ๆ "อื้อ นี่ไง ยังใส่เสื้อผมอยู่เลย เห็นป่าว" แต่คนที่ชิงตอบเป็นไอ้ปุณณ์ซะงั้น!!! ไม่พูดเปล่าแล้วยังเอามือมาทาบ ๆ เลขประจำตัวบนเสื้อผมให้เอมดูอีก!! นี่มึงไม่กลัวแฟนสงสัยเลยรึไงวะ!!! ถ้าใครรู้ว่ากูไปนอนบ้านมึงในฐานะอะไรล่ะก็.... โอ่ยยยย รู้ถึงไหน อายไปถึงนั่น ระหว่างที่ผมกำลังนั่งเหวอให้ไอ้ปุณณ์โชว์เสื้อนักเรียนที่ผมใส่ว่าเป็นของมันอยู่ เสียงคนเดินด้วยรองเท้านักเรียนก็ดังเข้ามาประชิดตัวผมอีกแรงอย่างไม่ยอมแพ้ "โน่ใจร้ายจัง... ไม่ยอมไปนั่งกับยู" วันไหนว่างกูจะหาเวลาไปทำสังฆทานซักที... ผมคิดพลางเกาหัวแกรก ที่โดนเพื่อนตัวเองกวนตีนไม่พอ ยูริยังจะมายืนยิ้มเผล่อยู่ข้างหลังผมอีก (เอาไงกะกูวะ!!) ถ้าโดดนํ้าในแก้วแล้วว่ายออกไปโผล่มหาสมุทรอินเดียได้ตอนนี้ ผมคงทำว่ะ "เอ่อ.... ก็ยูมีเพื่อนนั่งด้วยเยอะแล้วนี่ โน่ไม่กวนดีกว่า" "ใครบอกว่ากวนล่ะ ยูอยากนั่งกับโน่นะ ไม่ได้เจอกันตั้งเป็นอาทิตย์ หรือถ้างั้น ยูมานั่งตรงนี้ก็ได้นะ โน่จะ
ได้นั่งกับปุณณ์ด้วยไง ดีไหม" อุตส่าห์ถามว่า ดีไหม.. แต่ไม่เห็นหยุดฟังคำตอบ.... เธอวิ่งกลับไปลากเก้าอี้มานั่งข้างผมแล้วครับ T___T เอาเข้าไป ชีวิตกรู... "ผมเพิ่งรู้ว่าโน่คบกับยูริอยู่" ปุณณ์กระซิบเบา ๆ ระหว่างที่ยูริกำลังเดินหาเก้าอี้ว่างเพื่อจะมานั่งกับผม จนผมได้แต่ยิ้มแหะ ๆ ให้กับประโยคนั้นของมันแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดีกว่า... ขี้เกียจอธิบายยาว เรื่องของเรื่องก็คือ เดี๋ยวฝ่ายหญิงเขาจะดูไม่ดีนั่นเอง "มาแล้ว ๆๆ นี่!! ไปนั่งเบียดปุณณ์อยู่ทำไม มานั่งกับยูสิ สงสารปุณณ์เค้า เมื่อยแย่" ยูริที่ได้เก้าอี้วิ่งร่ามานั่งข้าง ๆ พวกผมพลางเอ็ดผมใหญ่ แถมยังตีไหล่อีกแน่ะ (อูยย เจ็บ)... ว่าแต่ให้ไปนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับยูริแบบนั้นนี่จะดีกว่าจริงเหรอ -_-" "ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้เมื่อยอะไร" โห๊.. ไอ้ปุณณ์ ทำเป็นแมน ผมเหล่ตามองพ่อพระเอกตลอดกาลอย่างหมั่นไส้ (ทั้งที่เค้าอุตส่าห์ให้นั่งด้วยแท้ ๆ) "ไม่ได้หรอกปุณณ์ โน่มานั่งนี่เร็ว ๆ" แต่อย่าฝันว่ายูริจะยอมแพ้.. เฮ้อ... อยากทำอะไรก็เชิญ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเชือกที่เขาใช้ชักเย่อ ยื้อไปทางโน้นที ทางนี้ที สุดท้ายทำได้แค่ถอนหายใจปลง ๆ แล้วย้ายตัวเองไปนั่งเบียดเก้าอี้ตัวเดียวกับยูริ ท่าทางเธอมีความสุขยิ้มร่าดีนะครับ (แต่ปกติเธอก็ยิ้มเก่งอยู่แล้ว) กุลีกุจอหาสารพัดของกินที่สั่งมาประเคนให้ผมใหญ่ "ยี้.... หมั่นไส้คนมีความรักมากเลยอะ สวีทกันไม่เห็นใจเพื่อนโสด ๆ อย่างพวกฉันเลยนะยะยู" แว่วเสียงเพื่อนสาวของยูริแซวกันระงมจนผมเหงื่อตก แต่ดูท่าทางยูริจะมีความสุขดีที่ได้ยินคำพูดแบบนี้ เพราะเธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนแก้มแทบปริ "ก็หาแฟนมั่งสิ" เอ้า... ไปตอบเพื่อนแบบนั้นทำไมล่ะครับ!... ว่าแต่ผมต้องอยู่ในสภาพนี้อีกนานเท่าไหร่เนี่ย T____T ***
เป็นเวลานาน กว่าที่พลพรรคสาว ๆ ขโยงใหญ่จะทั้งกินและเม้ากันจนสะใจ พระอาทิตย์ก็ตกดินไปหลายชั่วโมงแล้ว ผมมองซากอารยธรรมที่เหลืออยู่บนโต๊ะยาวของพวกเธอแล้วก็ต้องกลืนนํ้าลายอย่างเหลือเชื่อ กระเพาะผู้หญิงนี่ช่างน่ากลัวจริง ๆ... -_-" ขนาดว่าบริกรมาเก็บจานออกไปบ้างแล้วนะเนี่ย เราเดินออกจากร้าน ลัดเลาะไปตามแหล่งช้อปปิ้งของสยามที่เปิดไฟสว่าง มาจนถึงป้ายรถเมล์หน้าโรงหนังสยาม รอส่งสาว ๆ ให้กลับบ้านที่อยู่ทางช่วงถนนพญาไท "ยูริจะกลับยังไงล่ะ ดึกแล้ว" ผมถามไปเป็นมารยาทตามประสาแฟน(?)ที่ดีควรจะถาม จนเธอหันมายิ้มหวานอวดเขี้ยวน่ารักให้ผมด้วยดวงตาปิติ "โน่จะไปส่งยูเหรอ?" เอ่อ.................... เอางั้น.. ? แต่ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ยูริไม่ใช่ผู้หญิงประเภทนั้นหรอก เธอหัวเราะหลังจากที่พูดจบประโยคทันที "ล้อเล่นน่ะ! ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยูริกลับแท็กซี่กับเมย์ แล้วเจอกันใหม่วันหลังนะ" ได้ยินแบบนั้นค่อยโล่งใจไปนิดหน่อย ไม่ใช่โล่งที่ไม่ต้องไปส่งยูรินะครับ แต่ผมโล่งใจที่มีคนกลับบ้านเป็นเพื่อนเธอต่างหาก "ถึงบ้านแล้วก็โทรมาบอกด้วยนะครับ" ผมเองก็ไม่ใช่แฟนที่แย่นักหรอกน่า... ^_^ หลังจากที่รํ่าลากับยูริและเพื่อน ๆ จนส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่ไปเรียบร้อยแล้ว (ไม่ลืมจะถ่ายรูปทะเบียนรถแท็กซี่ไว้ในมือถือ) ก็ถึงตาผมบ้างล่ะที่จะกลับบ้าน แต่แค่หันหลังมายังไม่ทันจะก้าวขาไปไหน ก็เสือกประจัญหน้ากับไอ้ตัวป่วนชีวิตผมในช่วงหลัง ๆ มานี้เสียก่อน "เฮ้ย!!!!!?" มึงหล่อขนาดไหน แต่ดึก ๆ ดื่น ๆ มายืนเงียบ ๆ ข้างหลังกูก็นึกว่าผีเหมือนกันนะโว๊ย!!!!!! อู่ย... เง็กเซียนฮ่องเต้ช่วยข้าน้อยด้วย ขวัญเอ๊ยขวัญมา...
แน่นอนว่าผมร้องเสียงหลงที่หันกลับมาเจอหน้ามันรออยู่ แต่สิ่งที่น่าระแวงยิ่งกว่านั้นคือการปล่อยให้มันมายืนซ้อนหลังนาน ๆ... อู่ยยย ไม่ปลอดภัยแน่ ๆ รีบหันหน้าไปคุยกับมันดี ๆ ดีกว่า "โน่เป็นแฟนที่ดียิ่งกว่าที่ผมคิดอีกนะเนี่ย" มันพูดทั้งรอยยิ้มทะเล้น แต่ผมรู้สึกเหมือนถูกหลอกด่าปะแล่ม "หมายความว่าไง" "เฮ้ย! ไม่ใช่อย่างนั้น หมายความว่า โน่ก็ดูแลยูริดีเหมือนกันนะ นึกว่าจะใจร้ายกว่านี้ซะอีก" นี่มึงแก้ตัวแล้วเหรอวะ -_-".. "เป็นผู้ชายก็ต้องดูแลเขาหน่อยสิ.. นึกว่าปุณณ์จะไปส่งเอมซะอีกนะ" ผมพูดพลางเดินไปด้วยเพื่อขึ้นบันไดเลื่อน ข้ามฝั่งไปยังป้ายรถเมล์หน้าสยามเซ็นเตอร์ แน่นอนว่าปุณณ์เดินตามผมติด ๆ เพราะจะว่าไปบ้านเราก็อยู่ใกล้กัน อย่ามาเดินอยู่ข้างหลังกูได้ไม๊เนี่ยยยย เข้าใจไหมว่ากูรู้สึกแปลก แปลกกก "ปกติก็ไปส่งนั่นล่ะ แต่วันนี้ต้องพาโน่ไปที่บ้านนี่" มึงพูดอะไรนะ!!!!!!!!!? "เฮ้ย!!!!!!! ให้ไปทำไมอีกวะ!!!!!!!!!!!!" กูเป็นแฟน(ในนาม)แต่ไม่ได้แต่งเข้าบ้านมึงนะโว๊ย!! จะให้ไปอยู่กินด้วยเลยรึไง!!!!!! "อ้าว.... แล้วโน่ไม่เอามอไซค์ที่จอดทิ้งไว้บ้านผมเหรอ" เออว่ะ.............. เกือบลืม อะไรวะเนี่ย วันนี้ผมเบลอจริง ๆ "เออว่ะ.. เอา ๆๆ แล้วแป้งอยู่บ้านปะ" ต้องถามถึงตัวปัญหาก่อนเลยเป็นดีที่สุดครับ
"ไม่อยู่บ้านจะให้อยู่ไหนล่ะ ฮะฮะ" มันตอบผมกลั้วหัวเราะเหมือนผมถามคำถามโง่ ๆ... แต่คำถามของผมมันก็โง่จริง ๆ นั่นแหละ ว่าแต่.. หลังจากเป็นกับแฟนยูริ ก็ต้องไปเป็นแฟนไอ้ปุณณ์ต่ออีกเหรอวะ!!! ชีวิตผมจะมีอิสระบ้างไหมเนี่ย!!!!!!!!!!!

Love Sick 5th – Just let it Flow

ผมโผล่หัวไปโรงเรียนในตอนเช้าด้วยสภาพสะบักสะบอม.. เอ่อ..... อย่าเพิ่งคิดลึกไปถึงไหนต่อไหนล่ะ... แม้ว่าผมจะแทบไม่ได้นอนทั้งคืนตามที่พวกคุณแอบคิดอยู่ก็เถอะ -_-" แต่ไม่ได้มีเรื่องผิดผีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน สาบาน!!
ก็จะให้ผมนอนหลับเข้าไปได้ยังไงล่ะครับ!! กับไอ้ปุณณ์เนี่ย ถึงจะพอรู้จักกันบ้างก็จริงอยู่ แต่ก็อย่างที่ผมเคยบอก ว่าเราไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ (อันที่จริงคือไม่สนิทเลยยยย ผ่านมาผ่านไปโคตร ๆ) ดังนั้นไอ้เรื่องจะให้อยู่ดี ๆ มานอนร่วมเตียงกันสองต่อสอง แถมยังในบ้านของมัน ที่ผมเคยแต่เข้ามาอย่างมากสุด ๆ ก็แค่สนามหญ้า (เมื่อสองปีก่อน) นั่นน่ะ.. อยู่ดี ๆ จะให้มาอัพเลเวลค้างอ้างแรมกับมันในห้องนอนสองต่อสองเลยนี่มันก็เร็วเกินไป แถมเรื่องทั้งหมดยังกิดขึ้นภายในเวลาแค่วันเดียวนี่ก็อีก ผมเตรียมใจไม่ทันว่ะ แต่จริง ๆ จะให้นอนก็นอนได้นะ ไม่มีคิดมากอยู่แล้ว.. ผมอาบนํ้า เปลี่ยนชุดนอนของมันเสร็จสรรพ (ทั้งที่ปกติผมใส่เสื้อกล้ามนอน แต่วันนี้มิดชิดหน่อยดีกว่า เพื่อความปลอดภัย) เรานั่งคุยกันพอเป็นพิธีนิดหน่อย ตอนแรกว่าจะเล่นเครื่อง XBOX360 สุดไฮโซของมันตามที่ถูกชวน แต่เอาเข้าจริง ๆ ดันไม่ค่อยมีอารมณ์ ในที่สุดปุณณ์ก็เป็นฝ่ายปิดไฟนอนอย่างว่าง่าย เคราะห์ดีที่บ้านมันรวย เตียงมันเลยใหญ่ นอนกลิ้งกันสองคนนี่นอนได้สบาย สามคนสี่คนก็ยังไหวนะ เอ้า! แต่ไม่รู้ชาติที่แล้วผมกรรมหนักอะไรนักหนา.... น้องแป้งเสือกเปิดประตูผลัวะ! เข้ามา!? ไอ้ปุณณ์เลยรีบคว้าตัวผม (ที่นอนอยู่ไกลโพ้นอีกฝั่งเตียง แถมมีหมอนข้างกั้นอาณาเขตอีกต่างหาก) ที่ทำท่าจะหลับอยู่มะรอมมะร่อแล้ว.. เข้าไปกอด มันกอดผม!!!!!!!! เรื่องจริงไม่ได้โม้!!! แม่งเอ๊ยยยย!!
ผมดิ้นสุดชีวิตก็แล้ว ผลักมันออกก็แล้ว แต่สู้แรงมันไม่ไหวจริง ๆ แขนไอ้ห่านี่แม่งแรงเยอะชะมัด! เห็นผอม ๆ อยู่แต่ดูถูกไม่ได้ อีกอย่าง มันอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่าผมมากครับ ทำเอาผมได้แค่ดิ้นพราด ๆ อย่างขัดใจอยู่ในแขนมัน "แป๊บเดียว ๆ" มันกระซิบปลอบใจผมให้หยุดดิ้น ก่อนจะทำท่าเหมือนคนเพิ่งตื่น ชะโงกหัวไปมองน้องสาวที่ยืนหน้าเอ๋ออยู่ตรงประตู เพราะเพิ่งเดินเข้ามาเจอพี่ชายนอนกอดกับแฟนตัวเองกลม (ดูดี ๆ สิวะ กูขัดขืนอยู่!!) "มีอะไรคะแป้ง?" ไอ้พี่น้องคู่นี้รีบ ๆ คุย รีบ ๆ ไปซักทีสิโว๊ยยยยยยยยย!!! "แป้ง... เอาผ้าห่มมาให้เพิ่ม... กลัวพี่โน่หนาว.." น้องมันทำท่าอึ้งรับประทาน ปนกับแลดูมีความสุขเล็กน้อยครับ... โอ้ ไม่... น้องแป้งครับ.. น้องแป้งคิดอะไรรรรรรรรรรรรรรรร "ไม่เป็นไรหรอกค่ะแป้ง" ผมได้ยินเสียงปุณณ์ตอบน้องแบบนั้น พร้อมกับรู้สึกได้ว่ามันกระชับกอดผมแน่นขึ้นไปอีก แน่นอนว่าผมแกล้งหลับตายแบบไม่รับรู้เรื่องราวอะไรบนโลกนี้อีกแล้ว "พี่โน่เขาไม่หนาวหรอก" ไม่ต้องลืมตาผมก็รู้ว่าไอ้ปุณณ์ทำหน้าแบบไหนอยู่ แล้วก็รู้ด้วยว่าน้องแป้งกำลังมีสีหน้ายังไง โอ๊ยยย ไอ้พี่น้องบ้านนี่มันช่างขยันสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นจริงโว๊ยย!! "อ๋อ.. แป้งลืมไป... ฮิฮิ... งั้นแป้งไม่กวนละ จะล็อคห้องให้นะ" 'กริ๊ก'
21
แล้วคืนนั้น เราสองคนก็แยกย้ายกันนอน ต่างคนต่างไม่ห่มผ้า (เพื่อความเท่าเทียม เพราะผ้าห่มมีอยู่ผืนเดียว) ยังดีที่ปุณณ์ปรับแอร์เป็น 25 องศา ให้ห้องไม่หนาวจัด แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็นอนไม่ค่อยจะหลับเลยจริง ๆ *** ตัดกลับมาที่เวลาปัจจุบัน.. ทันทีที่ผมเปิดประตูห้องเรียนก้าวขาเข้ามา ก็ถูกรุมมองด้วยสายตาแปลก ๆ อะไร.. ไม่เคยเห็นโดมรึไง!? "มีไร.. มองไม" ผมถามกลับห้วน ๆ พลางเหวี่ยงกระเป๋านักเรียน (ของปุณณ์) ลงจอดบนโต๊ะเรียนตัวประจำ โดยพยายามสบสายตาเพื่อนฝูงให้น้อยยย ที่สุด เนื่องจากกลัวมันจะผิดสังเกต (ลืมไปว่าแบบนี่นี้แหละ ผิดหนัก) "มึงไปเอาชุดนักเรียนใครมาใส่" นั่น..... ไอ้เก่ง แม่งรู้ได้ไงวะ!!!! เก่งสมชื่อจริง ๆ "ไรของเมิงงง" แต่ถ้าคิดว่าจะยอมแพ้ง่าย ๆ ก็ไม่ใช่โน่แล้วครับ!! ถูกผิดไม่สน กูขอเถียงไว้ก่อน แต่ที่ไม่มองตาแบบนี้ ไม่รู้มันจะเชื่อผมรึป่าว "มึงนั่นแหละ ปฏิเสธทำไม เห็นอยู่ทนโท่ว่าไอ้ชุดนี้ไม่ใช่ของมึง รหัสนักเรียนก็ไม่ใช่ ไซส์หลวมโพรกอย่างนี้ก็ไม่ใช่ นอกจากมึงจะตัวหดลงได้ภายในเวลา 1 คืนอะนะ" ช่างสังเกตจังวุ๊ย! "อีกอย่าง... มึงไม่ได้ใช้จาคอปรุ่นนี้ แล้วกระเป๋ามึงของแท้ต้องมีสติ๊กเกอร์เสี่ยว ๆ แปะอยู่" วิเคราะห์ได้เป็นฉาก ๆ เลยวะ!!!? "สรุป.... มึงไปนอนบ้านใครมา เมื่อคืนกูดอทเอรอมึงมาเล่นด้วยทั้งคืน" ตกลงว่าเรื่องของเรื่องคือมึงรู้
ตั้งแต่ก่อนเห็นกูแล้วว่างั้นเหอะ!! ไอ้สาดด ทำเป็นพูดดี... ผมถอนหายใจหน่ายกับท่าทีเค้นความจริงของไอ้เก่ง ที่มีโอมพยักหน้าเป็นกำลังเสริม "เออ เมื่อคืนกูไม่ได้กลับบ้าน" "วะ วะ วะ ว๊าวววววว... จิ๊กกริ๊วกะสาวที่ไหนวะ!!" เชี่ยโอม ไอ้หมาเจาะปากมาเกิด ถ้าเมื่อคืนกูได้ไปจิ๊กกริ๊วกะสาว กูจะไม่ทำหน้าเซ็งอย่างนี้เลยโว๊ยย "สาวเหี้ยที่ไหนล่ะ กูติดแหง็กอยู่กะไอ้ปุณณ์ห้อง 1 ทั้งคืน" เท่านั้นแหละ คนที่ถอยเก้าอี้ออกไปไกลโพ้นคือไอ้โอม ส่วนไอ้เก่งปรี่เข้ามายกแขน ลูบหลัง ผมดูเป็นการใหญ่ "ในที่สุดมึงก็เสร็จผู้ชายจนได้สินะ... กูว่าแล้ว... ไหนวะ ครั้งแรกเจ็บรึเปล่า ได้ข่าวว่าของไอ้ปุณณ์มันใหญ่ด้วย" เรื่องเหี้ย ๆ น่ะไวนะมึง สัดเก่ง!!!!!!!!!!!!! ว่าแต่ของไอ้ปุณณ์มันใหญ่จริงเหรอวะ?.. เห้ย ไม่ใช่! "บ้านป๊ามึงสิ!!! กุมีธุระกับมันเฉย ๆ แล้วบังเอิญว่าดึกแล้ว กุเลยต้องนอนค้างบ้านมัน ไม่มีอะไรโว๊ยย!!" พออธิบายถึงตรงนี้ ไอ้โอมถึงได้ยอมเดินกลับมานั่งใกล้ ๆ ผมตามเดิมครับ.. ไอ้เวรนี่นิ่ จริง ๆ เล้ย "มึงไปสนิทกับปุณณ์ตั้งแต่ตอนไหนวะ กูนึกว่ารู้จักกันแต่ห่าง ๆ" "ก็ไอ้เหี้ยง่อยแหละตัวดี ทำให้กูต้องไปสนิทกับมัน... เออ กูจัดการเรื่องงบชมรมอีก 2 หมื่น ให้ได้แล้วนะ" "อย่าบอกว่ามึงไปขายตูดให้ไอ้ปุณณ์!?" ผวัะ!!! ตบเกรียนมันเจ็บมือ แต่ก็ขอตบแม่งซักทีเหอะครับ.. ไม่ไหวแล้ว.. ไอ้เชี่ยโอม! "โอ๊ย!! ตบไมวะ!!!!" ยัง... ยังมีหน้ามาถาม.....
"กุเห็นหมามันแกว่งตีนออกจากปากมึงอยู่เหมือนขาดอากาศหายใจ เลยตบให้อิสรภาพกะมันซะมั่ง เรื่องเหี้ย ๆ ล่ะคิดได้ สาดด" ผมก่นคำด่าพลางมองนาฬิกาข้อมือพลาง เห็นแล้วขัดใจเป็นชิบหาย! ปัดโธ่เว๊ย!!! นี่อีกตั้งหลายนาทีกว่าจะถึงเวลาโรงเรียนเข้า ผมต้องทนนั่งให้ไอ้พวกนี้เค้นคออีกนานแค่ไหนกันวะ!! '.. ถ้ากาลเวลาอาจจะล่วงเลยพ้นผ่าน กาลเวลายาวนานเธอลืมเลือนฉันบ้างไหม~' เสียงริงโทนท่อนฮุคเพลง คิดถึงฉันรึเปล่า ของวง cocktail ที่ไอ้โอมใช้มานานสามเดือนกว่า (จนผมเริ่มเบื่อ) ดังขึ้นเหมือนเป็นกระดิ่งหมดยกนักมวย เฮ้อ.. ในใจแอบโล่งโคตร ๆ ที่ไม่ต้องทนฟังมันกวนประสาทต่อ ผมยิ้มเย้ย ๆ ใส่มันก่อนจะก้มลงหยิบสมุดการบ้านใต้โต๊ะมาเช็คดูความเรียบร้อย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมากลับเห็นว่าคนเป็นฝ่ายยิ้มเยาะกลับมา กลายเป็นมันซะฉิบ "แม่มึงโทรมาว่ะ" ไอ้ห่า.. ใครวะแม่กู? ผมขมวดคิ้วมองหน้าจอมือถือ LG มันอย่างใคร่รู้ ก่อนจะตาแทบเหลือถลน "มึงบอกไปว่าไม่ได้อยู่กับกู" "ไรวะ แฟนมึงเองแท้ ๆ ทำเป็นหยิ่ง ยูริเค้าไม่น่ารักตรงไหน" ก็ไม่ได้ชอบจะให้ทำไงเล่า!! อีกอย่าง ผมไม่ถนัดกับการที่มีผู้หญิง หรือใครสักคน มาวิ่งไล่ตามแบบนี้ด้วย ไอ้โอมเมื่อไม่ได้คำตอบอะไรจากปากผม มันจึงทำแค่ยักไหล่อย่างไม่สนใจแล้วกดรับสายโทรศัพท์ที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ผมตบไหล่มันอีกสองทีเป็นการกำชับให้ทำตามแผน ส่วนมันก็ได้แต่ปัด ๆ มือผมออกเหมือนจะบอกว่า รู้แล้วแหละน่า.. "ครับ... โน่... ไม่อยู่ครับ ยังไม่เจอกันเลย" ดีมาก ดีมาก.. "อะ............... แหะ ๆๆ........ เก่งจังครับ แป๊บนึงนะ" เฮ้ย!? "แม่มึงรู้ทันว่ะ" มันใช้มือป้องลำโพงมือถือแล้วกระซิบกระซาบคำที่ผมไม่ค่อยอยากฟัง.. ไม่รู้ทำไม.. ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผู้หญิงคนนี้เป็นรู้ทันผมเสมอ
สุดท้ายคนที่ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วรับเอาโทรศัพท์เครื่องเหลี่ยมสีดำมาคุยคือผมนั่นเอง "ครับ ว่าไง?" "ทำไมยูริโทรหาโน่ไม่ติดเลยล่ะคะ" เสียงเริงร่าจากปลายสายดังตอบโต้ผมโดยที่มีเสียงรอบข้างเอะอะดังลั่น นี่เธอคงจะถึงโรงเรียนแล้วล่ะมั้ง ผมคิดและได้แต่ฉีกยิ้มแหย ๆ ให้โทรศัพท์ "มือถือผมแบตหมดน่ะ" "เมื่อคืนก็ไม่ออนไลน์นะ" "ก็ผมไปนอนบ้านเพื่อนมา.... ยูริมีอะไรจะคุยกับผมรึเปล่า" รีบเข้าประเด็นซักทีเถอะครับ! "อ๋อ... ฮิฮิฮิ" เสียงที่เธอหัวเราะกลับมานั้นฟังดูไม่น่าไว้ใจชอบกล ตอนนี้ผมรู้สึกเหงื่อตก แม้ในห้องเรียนจะเปิดแอร์เย็นเจี๊ยบอยู่ก็เถอะ "เย็นนี้ไปกินข้าวกันนะโน่..." ว่าแล้วไง.. "เย็นนี้ผมต้องเข้าชมรม คงเลิกเย็น ๆ เลยน่ะ" "ไม่เป็นไร ยูรอที่สยามนะ ร้านบ้านหญิง ชั้นสองเหมือนเดิม" คิดเหมาเอาเองเสร็จสรรพ นี่แหละยูริ... ตัวผมเองก็เป็นพวกปฏิเสธคนไม่เก่งเสียด้วย โดยเฉพาะกับยูริแล้ว ยิ่งปฏิเสธยากเข้าไปใหญ่ (จะว่าไปผมก็ปฏิเสธไอ้ปุณณ์ไม่เป็นเหมือนกันนี่หว่า) "อาจจะโผล่ไปคํ่าหน่อยนะ.." ทำได้ดีที่สุดก็แค่นี้แหละครับ -_-" "ไม่เป็นไรค่ะ ยูไม่รีบ แล้วเจอกันนะ" เสียงเริงร่าของเธอเอ่ยลาก่อนสายจะถูกตัดไป จริง ๆ แล้วยูริก็เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งเลยล่ะ เธอไม่เรื่องมาก ไม่งอแง ไม่เอาแต่ใจเหมือนผู้หญิงคนอื่น ติดแต่จะชอบคิดเหมาเอาเองก็เท่านั้น อย่างตอนนี้ที่ผมมีสถานะเป็น 'แฟน' ของเธออยู่นี่ก็เหมือนกัน ผมยังไม่ยักจำได้เลยแหะว่าเราไปตกลงกันตั้งแต่ตอนไหน? รู้แต่ว่า.... รู้ตัวอีกทีก็มี 'แฟน' เป็นยูริซะแล้ว
แต่ก็เอาเถอะ ไม่ได้เสียหายอะไร ยูริก็น่ารักดี คุณพ่อเธอเป็นชาวญี่ปุ่น เธอจึงเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นน่ะครับ ขาว ๆ หน้าใส ตาโต (อืม.. มีเขี้ยวด้วย) พูดจ้อได้ทั้งวันโดยไม่มีวี่แววจะเหนื่อย บางทีผมก็รู้สึกว่าเธอช่างสดใส และน่ารำคาญในเวลาเดียวกัน แหะ ๆๆ.. วันนี้โผล่ไปเจอซักหน่อยก็แล้วกัน ไม่ได้เจอเป็นอาทิตย์แล้วนี่... เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าผมไม่ดูแลแฟน

Love Sick 4th

"พี่ปุณณ์ นี่ใครน่ะ?" เพราะเสียงนี้ทำเอาผมต้องสะดุ้งเฮือกจนตัวลอยกันเลยทีเดียว ก็ทำไมผมจะจำไม่ได้ล่ะ ว่าไอ้เด็กผู้หญิงหน้าบ๊องแบ๊ว แต่นัยน์ตาเจ้าเล่ห์ ที่มายืนปั้นหน้างงอยู่ข้างหลังปุณณ์น่ะคือใคร
โผล่มาแล้วครับ น้องแป้งในตำนาน!!!!!!!!!!!! กูเริ่มส่งสัญญาณเรียกแบทแมนตอนนี้ได้เลยรึเปล่าวะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยย! ผมตะลึงงันมองหน้าเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนนี้อย่างกับเห็นผี (ให้เลือกดี ๆ ตอนนี้ผมเจอผียังรู้สึกดีซะกว่า) ในขณะที่ปุณณ์ดูจะควบคุมสถานการณ์ได้ดีกว่าที่คิด (รึเปล่าวะ) มันเพียงสูดหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้น้องสาวที่น่ารักของมันทันที เฮ้... เพื่อน..... อย่าทำท่ากระดี๊กระด๊าแบบนั้น....... กู.. กลัว.... "ไหนแป้งบอกจะนอนแล้วไงคะ?" ผมขมวดคิ้วมองไอ้ท่าทางอ่อนโยนของปุณณ์ที่ทำกับน้องสาว ก็เป็นซะอย่างนี้แหละ เด็กคอนแวนต์ทั่วสารทิศถึงได้พากันหลงนักหลงหนา... ผมคิดพลางเลิกคิ้วมองปุณณ์ที่ลูบหัวน้องวัยม.ต้นอย่างพี่ชายใจดี แล้วพลันรู้สึกสบายใจกับภาพที่ได้เห็นอย่างบอกไม่ถูก "ก็นอนไม่หลับ ว่าจะลงมาดูว่าพ่อกลับยัง แต่เห็นพี่ปุณณ์ก่อน" เจ้าตัวจุ้นตอบพลางเหล่ตามองผมไปพลาง.. คงจะคุ้นหน้าผมล่ะซี่ เด็กน้อยย (ผมเจอเธอครั้งล่าสุดเมื่อปีกลายที่งานบอลครับ น้องแป้งแวะมาหาปุณณ์ที่อยู่ฝ่ายพัสดุ ส่วนผมทำหน้าที่ band เดินไปตามไอ้ปุณณ์ให้น้องแป้งเองกะมือ) ผมฉีกยิ้มให้เธอจนเห็นฟันครบ 32 ซี่อย่างเป็นมิตร (เหงือกแทบแหก) เห็นไอ้ปุณณ์หันมองมาทางผมแล้วก็ยิ้มให้แบบที่ทำเอาเสียวตะเข็บชายแดนด้านหลังวูบบ "อ๋อ... พอดี.. เพื่อนนแวะมาหาน่ะ" มันหันกลับไปพูดกับน้องแป้ง ว่าแต่ทำไมต้องเน้นคำว่า เพื่อนน แปลก ๆ ด้วยวะ (มีการลากเสียงด้วย!?) "เพื่อนน??" ยิ่งเห็นสายตาซน ๆ ของยัยเด็กนี่แล้วยิ่งไม่น่าไว้ใจทะแม่งว่ะ...... นี่ผมกำลังโดนไอ้สองศรีพี่น้องตัวแสบกลั่นแกล้งอะไรอยู่รึเปล่าครับเนี่ย!? "คืออันที่จริง........." ปุณณ์พูดพลางขยับตัวหันไปหาน้องแป้งมากขึ้น พร้อมกับเหลือบตามองผมเป็นระยะ
แต่ไม่ยักว่ามันจะสนใจสายตาสงสัยเสียเต็มประดาของผมที่ส่งไปเลย!? "เห็นแป้งบอกว่าอยากเจอโน่... เลยขอร้องให้โน่มาหาหน่อยน่ะ" อะไรนะ!!!!!!!!!!!!! แน่จริงตอนพูดมึงอย่าลอบทำร้ายด้วยการเตะหน้าขากูดังป้าบบสิวะ สาดดดดด!! อูยยยยยย ไอ้บ้า ฝากไว้ก่อนเหอะมึง! "แป้งอยากเจอพี่โน่?" "ก็แป้งบอก........ อยากเห็นแฟนพี่ไม่ใช่เหรอ..." แล้วกูไปตกลงกับมึงตั้งแต่ตอนไหน!!!!!!!!!!!!! ความจำกูเสื่อมหรือมึงโมเมวะสัด! ผมเกือบจะโวยวายลุกขึ้นมาทุบหัวมันอยู่แล้ว ถ้ามันไม่ได้ คว้า มือผมไปจับไว้อย่าง อ่อนโยน เสียก่อน เวรกรรมแล้วไหมล่ะ ชีวิต.......... *** ในที่สุดผมก็โดนลากให้เข้ามาในบ้านภูมิพัฒน์จนได้ (นี่ผมก็ขัดขืนแล้วเหมือนกันครับ) จุ้นพอกันทั้งพี่ทั้งน้องนั่นล่ะผมว่า เจ้าเด็กแป้งพอรู้ตัวว่าผมจะมาเป็นพี่สะใภ้ (กูจะบ้า!!) ก็คะยั้นคะยอให้พี่พาแฟนเข้าไปกินนํ้าในบ้าน (แล้วเอาออกมาให้ไม่ได้เหรอวะ) ข้างฝ่ายไอ้ปุณณ์ก็เสือกสนับสนุนเต็มที่อีก บอกคุยข้างนอกยุงกัด (พวกมึงปล่อยกูกลับบ้านง่ายกว่าเยอะ!)
แน่นอนว่าผมเถียงอะไรไม่ได้ซักคำ โบราณว่านํ้าท่วมปาก ผักบุ้งโหรงเหรงเป็นยังไง วันนี้ผมรู้ซึ้งแล้วครับ (เอ๊ะ.. แว่ว ๆ เหมือนใครด่าผมว่าสุภาษิตนี้มันไม่มี) ตอนนี้ผมเลยต้องมานั่งแหมะอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นบ้านภูมิพัฒน์ โดยที่มีน้องแป้ง นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวนึง และ ไอ้ปุณณ์......... ที่แทบจะยกเอาผมไปนั่งบนตัก "เบียดทำไม! ร้อน!" ผมกระซิบด่ามันพอเป็นพิธี ไม่ให้น้องแป้งที่กำลังตั้งใจดูซีรี่ย์หนังฝรั่งอยู่ได้ยิน แต่ไอ้เวรนั่นกลับทำหน้าเหรอหราใส่ "ร้อนเหรอ เร่งแอร์ไหม?" "ไม่ต้อง! เขยิบไปก็พอ!" เรื่องแค่นี้ทำไมคิดไม่ได้วะ -_-" แต่คำตอบที่ผมได้รับกลับเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากคนที่นั่งเบียดผมอยู่นี่แทน "ได้ไงล่ะ ให้มันเนียน ๆ หน่อยสิโน่" หึ๊ย... เนียนห่าเนียนเหวอะไร!! มึงบังคับขืนใจกูมาชัด ๆ!!!!!!! "เนียนเชี่ยไร! เถิบไป!" เริ่มขึ้นคำหยาบแล้วครับ.. ผมยังไม่ลดละความพยายามที่จะอยู่ห่าง ๆ ไอ้บ้านี่ง่าย ๆ ซึ่งงวดนี้ดูเหมือนมันจะยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี.. ผมถอนหายใจโฮกใหญ่ที่ปุณณ์ยอมกระเถิบออกไปนิดหน่อย (แต่ก็ยังนั่งติดกันอยู่ดี) ซึ่งแน่นอนว่าความโล่งใจไม่ได้อยู่กับตัวผมนานเลย เมื่อไอ้ปุณณ์มัน..... พาดแขนมาโอบบ่าผมแทนซะนี่!!!! คิดได้นะมึง!!!!!!!!!!! ผมเห็นชัดว่าน้องแป้งหันมามองเราสองคนด้วยนัยน์ตาที่เป็นประกายวูบไหวแปลก ๆ มันแลดูเป็นประกายอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก ทำเอาผมขนลุกพรึ่บพร้อมกันทั้งสองแขนโดยไม่ต้องโทรนัดกันให้เสียเวลา!! ดูทีวีต่อไปสิครับแป้ง!! T____T
"พี่โน่กลับยังไงคะวันนี้ ดึกแล้วนะ" น้องแป้งหันมายิงคำถามให้ผม แต่... คำถามนี้มันแอบแฝงอะไรรึเปล่าวะ... ไม่ ๆๆ ไม่ดีแน่ รีบปัดไปจะปลอดภัยกว่า.. ผมยกนาฬิกาข้อมือตัวเองมามองแล้วก็พบว่ามันดึกมากแล้วจริง ๆ ได้เวลาหนีจากขุมนรกชั้นที่ 18 นี่ซักที "พี่ขับมอไซค์มาครับ งั้นพี่ขอตัวกลับก่อนนะ บายปุณณ์" ผมหันไปโบกมือให้ไอ้ตัวปัญหาคนโต ที่ลุกขึ้นทำท่าจะเดินไปส่ง ในขณะที่ตัวปัญหาคนเล็กดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยผมให้ไปผุดไปเกิดง่าย ๆ "ปล่อยพี่โน่กลับตอนนี้ได้ไงอะพี่ปุณณ์!! ระหว่างทางเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ!" อ้าวเห้ย... พี่เป็นผู้ชาย อายุ 17 แล้วนะครับ!! ดูแลตัวเองได้แล้วครับแป้ง!! "เอ่อ........" "พี่โน่นอนนี่นะ ๆๆ.... นอนห้องพี่ปุณณ์ก็ได้ อย่ากลับเลยนะ มันอันตราย" ทีนี้จะเอายังไงกะลูกแมวน้อยที่มาเกาะแขนแจอยู่ข้างผมนี่ดีหว่า -_-"... ถ้าเป็นไปได้.. ผมอยากจะถีบแม่งให้กระเด็น ริมฝีปากเล็ก ๆ นั่นยังจ้อไม่หยุด.. "พี่ปุณณ์จะบอกว่ามีแฟนอย่างเดียวแล้วให้หนูช่วยพูดกับพ่อเรื่องนั้นไม่ได้หรอกนะ ถ้าพี่ปุณณ์ไม่ดูแลพี่โน่ให้ดี หนูก็ไม่ช่วยพูดให้เหมือนกัน" ชิบหายแล้ว!!!! ไหงงั้นล่ะวะ!!!! หน้าผมตอนนี้มีเครื่องหมายอัศเจรีย์ขนาด 500pt แปะป้ากอยู่กลางกะบาลจนแทบหงายเก๋ง "เอ่อโน่..... นอนนี่เถอะว่ะ กลับตอนนี้มัน...... หึหึ...... อันตราย.. หึหึหึ" ดูนั่น มันขำชัด ๆ ไอ้เชี่ยปุณณ์ มึงไม่ช่วยกูแล้วมึงยังจะ....... โอ๊ยยยยย ผมควรเฟ้นคำไหนมาด่ามันก่อนดีวะเนี่ย!!!!! "นอนยังไงล่ะ พรุ่งนี้มีเรียน ชุดนักเรียนไม่มี" "ชุดพี่ปุณณ์ไงคะพี่โน่" "ไม่ได้หรอกครับ รหัสนักเรียนมันไม่เหมือนกัน" เอาวะ... ตอนนี้อยู่ที่ว่าใครจะเถียงชนะใครแล้ว
"ไม่เป็นไรหรอก วันดีคืนดี บราเดอร์ไม่เคยตรวจนี่... หรือถึงเขาสงสัย โน่บอกไปก็ได้ว่าบังเอิญมาค้างบ้านผม แล้วใช้ชุดของผม" ไม่ช่วยกูแล้วยังจะฝังกลบกูอีกนะปุณณ์!!!!!!! ไอ้เหี้ย กูซึ้ง!!!!!!!!!!! กูซึ้งว่ะเพื่อน!!!!!! "........................." ถึงตอนนี้ผมอึ้งรับประทาน ใบ้แดก เถียงต่อไม่ออกแล้วครับท่าน "รีบขึ้นไปอาบนํ้านอนเถอะค่ะ ทั้งสองคนเลย แล้วเรื่องนั้นแป้งจะค่อย ๆ คุยกับพ่อให้นะพี่ปุณณ์" น้องแป้งพูดพลางดันหลังทั้งผมและปุณณ์ให้ออกจากอาณาเขตห้องนั่งเล่นไป เพื่อมุ่งสู่เรือนหอรอรัก (??) ตบท้ายประโยคด้วยคำที่ทำให้ปุณณ์ตาวาว แต่ผมนี่สิ ห่อเหี่ยวใจเป็นอย่างที่สุด ทำไมต้องค่อย ๆ คุยด้วยวะครับ!! แล้วผมจะต้องตกอยู่ในสภาพนี้อีกนานแค่ไหนเนี่ย!!!!!!!!! "ไม่ต้องห่วง เรื่องเงินชมรมนายฉันก็จะจัดการให้เหมือนกัน" เสียงปุณณ์กระซิบบอกผมเบา ๆ ในขณะที่ผมเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว มันคุ้มกันแน่หรือเปล่าวะ ถามจริง!

Love Sick 3rd

หลังจากที่ปุณณ์พยายามลากผมเข้ามาในบ้านได้พักใหญ่ (จะเอาผมไปสาบานกับเจ้าป่าเจ้าเขาที่ไหนก็ได้
ว่าพยายามขัดขืนแล้วแต่สู้แรงมันไม่ไหวจริง ๆ) ในที่สุดตอนนี้ก้นเล็ก ๆ อันน่าหวงแหนของผม ก็ย้ายเข้ามานั่งอยู่ในซุ้มไม้ บริเวณสวนหน้าบ้านของมันเป็นที่เรียบร้อย นัยน์ตาไอ้ปุณณ์จ้องตรงเป๋งมายังผม ราวกับมีเรื่องประมาณล้านแปดแสนอยากจะบอก แต่ไม่รู้ควรเริ่มจากเรื่องไหนก่อนดี... ส่วนผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ว่าผมอยากจะฟัง -_-"......... "โน่!" มันเรียกชื่อผมในที่สุด เล่นเอาสะดุ้งโหยง เอาล่ะแม่ง.. ทีนี้... ผมควรจะเริ่มทำอะไรก่อน.. ระหว่างวิ่งหนี ดำดิน โทรแจ้งตำรวจ หรือส่งสัญญาณเรียกแบทแมน T___T "โน่... ฟังผมดี ๆ นะ" กูไม่อยากฟังงง T___T ปุณณ์มองหน้าผมที่คงทำท่าสยดสยองให้มันเห็นซะออกหน้าออกตา จนมันถอนหายใจเฮือก "ผมไม่ได้เป็นเกย์... ผมมีแฟนแล้ว เป็นผู้หญิง... โน่ก็รู้จัก เอม แฟนผมนี่" อะไรของมัน พูดจากลับไปกลับมาจริง ๆ ว่ะ.. แต่ประโยคนี้ฟังดูเข้าท่านะ ผมรู้สึกสบายตัวขึ้นตั้งเยอะ แน่นอนว่าผมรีบพยักหน้ารับกลับไปอย่างแข็งขัน เพราะผมก็รู้จัก เอม แฟนปุณณ์จริง ๆ เธออายุเท่าพวกเรา แต่อยู่คนละโรงเรียน (แน่สิ โรงเรียนเดียวกันก็กะเทยแน่แล้ว โรงเรียนผมมีแต่ผู้ชายนี่หว่า) เอม เป็นผู้หญิงสวยมาก จนถึงขั้นสวยจัด ถึงแม้ไม่แต่งหน้าก็ยังสวยอยู่ แต่งตัวทันสมัยแบบที่สาว ๆ ผู้ดีมีตังค์ชอบใส่เด๊ะ ๆ เรียกว่าควงไปไหนยังไงรับรองไม่มีวันขายหน้าเป็นอันขาด ยิ่งควงเข้ามาในโรงเรียนผมน่ะนะ พรรคพวกนํ้าลายสอมองตามกันสลอน ใคร ๆ ก็บอกว่า เอมกับปุณณ์ สมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก.. ผมเองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่พูดคำนั้น เพราะเขาสมกันจริง ๆ
สมกันจนผมอดสงสัยไม่ได้.. ว่าประโยคต่อไปของปุณณ์จะเป็นคำว่าอะไร "แต่..... ผมอยากจะคบกันโน่.." ไอ้ห่า...... กูไม่อยากฟังแล้วโว๊ย!!!!!!!! "โอเคว่ะปุณณ์... พูดคำเดิมเลย เรากลับดีกว่า ไม่อยากฟังแล้วว่ะ" ผมตัดบทอย่างรวดเร็วพลางลุกขึ้นหมายจะกลับแน่นอน ไม่มีการล้อเล่น... ผมไม่เข้าใจอะไรมันเลย จะมานั่งแก้ตัวว่าตัวเองไม่ได้เป็นเกย์ แถมยังยกเรื่องเอมมาอ้างอีกทำไม ในเมื่อคำต่อไป มันยังยืนยันจะทำตัววิปริตกับผมอยู่ดี "เพราะที่บ้านผมกำลังจะบังคับให้ดูตัว ผมขัดขืนพ่อกับแม่ไม่ได้ นอกจากน้องสาวจะช่วย ซึ่งเธอบอกว่าถ้าผมมีแฟนเป็นผู้ชายเธอก็จะโอเค" O.o หา... อะไรนะ????? มันพูดทั้งยาวและเร็วจนฟังไม่ถนัด สิ่งเดียวที่รู้ตอนนี้คือว่า..... ผมควรจะฟัง? "อะไรนะ? เอาช้า ๆ ชัด ๆ" "ผมบอกว่า... ที่บ้านกำลังจะบังคับให้ดูตัว" ปุณณ์สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดต่อ ในขณะที่ผมกลับไปนั่งตรงข้ามมันเหมือนเดิมแล้ว "อ่าฮะ.. ?" "แล้วผมไม่เคยปฏิเสธอะไรพ่อกับแม่ได้... โน่ก็รู้ว่าท่านดุ...." ถูกต้องใช่เลย... ผมยังฝังใจแม่นถึงงานวันเกิดที่บ้านมันเมื่อ 2 ปีก่อน เพราะแม่งเล่นเอาเกร็งแทบแย่ ต้องมานั่งกลั้นคำหยาบยิ่งกว่ากลั้นตด เพราะตดยังปล่อยออกมาได้ไม่มีใครรู้ (ปะวะ?) แต่คำหยาบแม่งหลุดเมื่อไหร่... มีหวังโดนโยนออกจากบ้านไฮโซเมื่อนั้น.... กลับไปเดือดร้อนถึงไอ้โอมต้องนั่งฟังผมพ่นสารพัดสัตว์ที่ทนเก็บเอาไว้สามชั่วโมงเป็นวรรคเป็นเวรจนหูชา "แต่ไม่รู้เป็นอะไร ท่านยอมแป้งเสมอ" ปุณณ์พูดต่อขัดความคิดที่กำลังเพ้อเจ้อของผม.. มันพูดว่าอะไรนะ? อ๋อ... เออ แป้งนี่เป็นชื่อน้องสาวมันครับ ผมพอจะจำได้อยู่ น้องแป้งนี่เป็นเด็กแสบพอตัวในความทรงจำ
สยองของผม.. ถ้าจะบอกว่าแม้แต่พ่อกับแม่ยังกลัวนี่ผมก็ไม่ค่อยแปลกใจ -_-".. "ดังนั้นถ้าแป้งช่วยพูดให้ผม ผมก็คงไม่ต้องไปดูตัว แต่................." ถึงตรงนี้ผมเลิกขึ้นคิ้วสูง.... แต่.... แต่อะไรวะ!?........ ตอนผมเรียนพิเศษวิชาภาษาไทย อาจารย์ปิงเคยบอกกับผมว่า หลังคำว่า 'แต่' มักเป็น main idea เสมอ.. ซึ่งนักเรียนมีหน้าที่ต้องสนใจมันเป็นพิเศษเวลาทำข้อสอบ แต่.. ตอนนี้ผมไม่อยากสนใจมันเลยว่ะ -_-"... main idea ผม ชัดพอปะ? "เราไม่ฟังต่อได้มะ?" "ไม่ได้โน่ ฟังให้จบดิ่" แม่งขี้บังคับอะ!!!!!!!!!!!! T[]T ผมนั่งทำหน้าเซ็งรอมันพูดต่อด้วยจิตใจลุ้นระทึก... ก็ไอ้ความรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ๆ นี่คืออะไรวะ หมายความว่าผมจะต้องเสียเอกราชให้ไอ้ปุณณ์รึเปล่า T__T "แต่แป้งมัน... ก็เหมือนเด็กผู้หญิงสมัยนี้อะโน่ ที่ชอบอ่านนิยายกับการ์ตูนเกย์ อะไรของแป้งก็ไม่รู้ ผมเห็นซื้อมาเก็บเต็มห้อง" บทสนทนานี้เริ่มฟังดูน่ากลัวขึ้นทุกที ๆ... "แป้งก็เลยบอกผมว่า ถ้าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย แป้งถึงจะยอมช่วยพูดให้... แล้วถ้าแฟนผมน่ารัก... ก็จะยิ่งช่วยเข้าไปใหญ่" เอาล่ะ... ใครก็ได้บอกทีว่าผมไม่ได้กระพริบตามากี่นาทีแล้ว... ในใจผมเริ่มสวดมนต์อธิษฐานขอขมาเจ้ากรรมนายเวร.. เป็นไปได้ก็ขอให้หูตัวเองบอดซักสองสามนาที หากคำอธิษฐานเป็นจริงผมรับรองจะอาสาเก็บขยะรอบสนามหลวงซัก 3 เดือนแก้บน แต่ไม่ยักมีเจ้าป่าเจ้าเขาองค์ไหนเห็นใจผมซักคน T___T
"คือโน่ก็........ ดูดี..." นี่คือประโยคต่อมาที่ผมได้ยิน... โอเคอะปุณณ์!!!!!!! กูขอโทษที่เกิดมาตัวเล็กกว่ามึง (จริง ๆ ผมก็ไม่ได้เตี้ยเท่าไหร่ แล้วปุณณ์มันก็ไม่ได้สูงมากมายอะไร แต่ก็นั่นแหละ... ยังไงผมก็ยังสูงน้อยกว่ามันอยู่ดี) กูขอโทษที่กูเป็นลูกคนจีน ตัวเลยขาวจั๊วะ ตากแดดยังไงก็ไม่ยอมดำ กูขอโทษที่ถึงแม้กูจะเป็นลูกคนจีนตาครึ่งชั้น แต่ตากูเสือกกลมแป๋ว แถมปากยังแดงแจ๋..... กูโดนเพื่อนแซวอยู่บ่อย ๆ ว่าน่ารักก็จริงอยู่ แต่กูไม่เคยคิดอะไร จนถึงวันนี้นี่แหละที่มึงทำให้กูรู้สึกว่าสิ่งที่กูเป็นมัน.. นรกชัด ๆ !!! ท่าทางมันจะอ่านความคิดผมออกทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องออกเสียงซักแอะ.. "โธ่โน่... ผมขอโทษ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่คือ...... จะให้ไปคว้าเอาไอ้เชนมาบอกแป้งว่านี่แฟน ก็ไม่ใช่เรื่องใช่ไหมล่ะ" เข้าใจพูดนี่หว่า... มันอ้างไปถึงไอ้เชนครับ ไอ้เชนนี่เป็นนักกีฬาเต็งหนึ่งของโรงเรียน... ฟังดูก็รู้แล้วใช่ไหมล่ะครับว่าไซส์จะประมาณไหน "แล้วทำไมไม่ไปให้พวกแก๊งค์นางฟ้าช่วยล่ะ" ผมโยนถามต่อไปถึงแก๊งค์กะเทยจอมแก่น ที่เซี้ยวซะจนผู้ชายแมน ๆ อย่างพวกผมยังผวา.. แน่ล่ะว่าถ้าลองปุณณ์ไปขอความช่วยเหลือจากพวกนี้ล่ะก็ ขี้คร้านจะกรี๊ดกร๊าดแย่งกันช่วยแทบไม่ทัน "ก็แป้งเขาไม่ชอบแบบนั้นนี่โน่ แป้งชอบเกย์ ไม่ได้ชอบกะเทย..." แล้วกูเป็นที่ไหนล่ะ!!!!! อยากจะตะโกนใส่หน้าจริงโว๊ยยย "ไอ้โอ๊ค ไอ้ดุลย์ วิทย์... ผู้ชายตัวเล็ก ๆ ขาว ๆ เยอะแยะ ตัวเล็กกว่าเราด้วย ทำไมไม่ไปให้พวกนั้นช่วยล่ะ" ผมยังพยายามโบ้ยต่อไม่จบสิ้น แต่ดูท่าทางปุณณ์จะหน่าย ถึงได้ถอนหายใจใส่หน้าผมอย่างนั้น"พวกนั้นก็ปกติเหมือนเรานี่โน่... ไม่ยอมหรอก" "แล้วทำไมต้องเราอะ!!!" "ก็ถ้ากับโน่........ ผมยังมีเรื่องที่ช่วยโน่แลกเปลี่ยนได้" สะอึกอุกกันเลยทีเดียว......... นี่ผมกำลังถูกขู่รึเปล่าวะ?? เกือบลืมไปแล้วเชียวว่าตัวเองต้องอาศัยใบบุญจากปุณณ์อยู่ ถึงตอนนี้ผมมองเห็นหน้าเจ้าปุณณ์เป็นแบงค์พัน สองปึก ปึกละหมื่น เรียบร้อยแล้ว "โอเคไหม... ที่อื่นไม่ต้อง ขอแค่ต่อหน้าแป้งก็พอ.... แล้วเงินชมรมโน่ ได้แน่นอน" ...... หึ๊ยย!!!...................................... เพื่อเงินสองหมื่น กูต้องยอมเสียศักดิ์ศรี เป็นเมีย (ในหน้าที่) ของยอดชายนายปุณณ์เลยเหรอวะ!!! ผมมองหน้ามันที่ยิ้มกริ่มอยู่พลางครุ่นคิด แต่ยังไม่ทันจะคิดตกดี เสียงแหลม ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นก่อน "พี่ปุณณ์ นี่ใครน่ะ?"

Love Sick 2nd

2nd CHAOS "เฮ้ยโน่!! ตกลงว่าไงวะ!!" เป็นไอ้โอมเหมือนเดิมที่เงยหน้าขึ้นมาถามผมคนแรก หลังจากที่ผมเดินปึงปังกลับมาในห้องชมรมได้ยังไม่ทันจะถึงครึ่งวิ ผมไม่รู้จะตอบมันยังไงจริง ๆ ว่ะ.. แม่งโมโหก็โมโห ไอ้บ้าปุณณ์เล่นเชี่ยอะไรของมัน รู้จักกัน (แบบห่าง ๆ) มาก็ตั้งนาน ผมไม่เคยรู้ว่าแม่งวิปริตแบบนั้นไปซะฉิบ "กูไม่ใช่ตุ๊ด ไอ้สัตว์!!!" คือคำที่ผมตะโกนใส่หน้ามันไปเมื่อ 5 นาทีที่แล้วก่อนจะเดินกระทืบเท้าปึง ๆ ออกจากห้องสภานักเรียนแล้วตรงดิ่งมานี่ ไม่อยากเชื่อหูว่าผมจะได้ยินคำพูดแบบนั้นออกจากปาก ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ ไอ้คนเพียบพร้อมเสียแทบทุกระเบียดนิ้ว ทั้งหน้าตา ชาติตระกูล ความประพฤติ ผลการเรียน อัธยาศัย แถมแฟนแม่งก็ยังสวยอีก แฟนสวย!? เออใช่..... มันมีแฟนแล้วนี่หว่า!? เป็นถึงดาวโรงเรียนคอนแวนต์เชียวนะเฮ้ย!!!!
แล้วผมกับมันก็รู้จักกันมาตั้งนาน (ถึงจะรู้จักกันแบบห่าง ๆ ก็เถอะ เพราะปุณณ์เนี่ย เป็นเพื่อนของไอ้นันท์ ที่เป็นเพื่อนของไอ้รถเก๋ง ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องของผมอีกที.. งงไหมครับ... เอาเป็นว่าตามนั้นนั่นแหละ) ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเจอหน้ามันก็ยิ้มให้มันบ้าง หรือถ้าฟลุ้คเจอตอนมันกำลังต่อแถวซื้อของอยู่ต้น ๆ แถว ก็ฝากมันซื้อบ้าง หรือเวลาผมขายบัตรคอนเสิร์ตชมรมผม ก็วิ่งเอาบัตรไปบังคับขายกับมันบ้าง.. แต่ก็ไม่เคยเห็นมันจะมีท่าทีคิดอะไรแบบนั้นกับผมสักครั้ง อันที่จริงถ้าจะถามว่าในโรงเรียนนี้ใครเป็นเกย์ (ซึ่งมันก็มีเยอะอยู่) ปุณณ์ คงเป็นคนสุดท้ายที่ผมจะคิดถึง.. ตกลงผมฟังอะไรผิดรึเปล่าวะ!!!??!? *** อากาศรอบตัวผมตอนนี้เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ คงเป็นเพราะย่างเข้าสู่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกาที่เป็นต้นฤดูของหน้าหนาว ทั้งที่เวลาแบบนี้ผมควรจะหมกตัวเองเล่นเกมอยู่ในบ้านให้หนำใจแท้ ๆ แต่บางอย่างกลับผลักให้ผมขับมอเตอร์ไซค์มาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าบ้านหลังใหญ่นี้ ผมเคยมาบ้านหลังนี้ครั้งหนึ่งเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนที่ลูกคนโตของบ้านจัดงานวันเกิดครบรอบปีที่ 15 ของตัวเอง ทั้งที่ผมก็ไม่ได้สนิทกับเขาเท่าไหร่ แต่เป็นเพียงเพราะเราเรียนชั้นปีเดียวกัน และซอยบ้านเราก็อยู่ใกล้กัน เพื่อนของผมที่พอจะสนิทกับเจ้านี่บ้าง จึงอ้อนวอนให้ออกมาเป็นเพื่อน ไม่คิดแหะว่าจะต้องกลับมาที่บ้านนี้อีกด้วยตัวเองคนเดียว แถมเหตุผลยังฟังดูไม่เข้าท่าอีกต่างหาก ผมจอดมอเตอร์ไซค์ไว้หน้ารั้วบ้านหลังใหญ่ พลางเดินไปมาหน้าประตูอัลลอยด์นั้น.. แม้จะเห็นปุ่มกดออดตั้งตระง่านอยู่ตรงหน้า แต่ไอ้เรื่องจะให้กดลงไปนี่มันทำใจยาก..แม่ง.... ทำไมต้องถ่อมาถึงนี่ด้วยวะเนี่ย!! ไอ้เชี่ยปุณณ์ ถ้ามันไม่ยอมเปลี่ยนคำพูดล่ะก็ แม่งจะซัดให้หน้าหงาย! แต่ยังไม่ทันที่ผมจะโวยวายกับตัวเองได้สะใจดี เงาตะคุ่ม ๆ ของผู้ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งที่เดินวนไปเวียนมาตรงสนามหญ้าในความมืด กลับขโมยความสนใจของผมไปจนหมดสิ้น! บ้านนี้มีผู้ชายหนุ่ม ๆ ก็มันคนเดียวนั่นแหละ!!! "ปุณณ์! ปุณณ์!!" ผมพยายามตะโกนเรียกชื่อเจ้าของเงานั้นอย่างยากเย็น เมื่อจะตะโกนดังมากก็ไม่ได้ (เกรงใจ) แต่ก็อยากเรียกให้เจ้าตัวมันได้ยินว่าผมอยู่นี่ (โว๊ยยย) ดูเหมือนความพยายามอยู่พักใหญ่ของผมจะสัมฤทธิ์ผล! ไอ้หน้าหล่อนั่นหันมาทำท่าทีเลิ่กลั่ก (แน่ล่ะ คงไม่คิดว่าผมจะถ่อมาถึงบ้านในเวลาแบบนี้) ก่อนจะพาตัวมันเองออกมานอกเงามืดของต้นไม้ เผยให้ผมเห็นว่ามันกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ไปซะฉิบ ขอโทษนะที่ถ่อมารบกวน -_-"............ แต่ท่าทางเจ้านั่นไม่ได้คิดว่าผมรบกวนซักเท่าไหร่ นัยน์ตาของมันยังดูตกใจอยู่ ผมเห็นได้ว่าปุณณ์รีบวางสายโทรศัพท์แทบจะทันที "เห้ย มีไรป่าวโน่!?" มันว่าพลางเปิดประตูเล็กออกมาคุยกับผม ในขณะที่ผมยังคิดไม่ตกว่า ผมมีอะไร?? "เอ่อ...." จะตอบมันว่าไงดีวะครับเนี่ย!!! "คือ..... เรา....." ไงต่อล่ะวะ!!! "เรา................." "โน่มาเพราะเรื่องเมื่อเย็นรึเปล่า?" บันไซ!!! ใช่เลย!!!!!!!!!!!!!!! ขอบคุณมากว่ะที่พูดแทน "เออ นั่นแหละ" ผมตอบพลางยกนิ้วชี้หน้ามันทันที "คุยให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้ เมื่อตอนเย็นเราไปที่ห้องสภา
นักเรียนมา แล้วเจอปุณณ์อยู่ในนั้น เราถามปุณณ์ถึงเรื่องงบประมาณที่โดนตัดไปของชมรมเรา แล้วปุณณ์บอกว่าเป็นเพราะวันพิจงบไอ้ง่อยไม่ยอมเถียงพี่อั๋น ชมรมเราก็เลย..." "ผมจำได้น่าโน่..." มันพูดตัดผมเหมือนขี้เกียจจะฟัง แต่ก็เออน่ะ รู้แล้วว่าจำได้ แต่ขอท้าวความซักหน่อยได้ไหมล่ะ!! "เออ ขอบใจที่จำได้ งั้นปุณณ์ก็ต้องจำได้ว่าปุณณ์บอกจะช่วยชมรมเรา แต่แลกกับอะไร เราฟังไม่ถนัดว่ะ ตอนได้ยิน ฟังผิดเป็นปุณณ์บอกให้เราคบกับปุณณ์ เลยด่าแล้วออกไปก่อนนั่นแหละ... โทษทีว่ะ สงสัยหูเราไม่ค่อยจะดี..." "โน่ก็ฟังถูกแล้วนี่..." "ก็นั่นแหละ เลยจะมาถามว่าจริง ๆ แล้วปุณณ์พูดอะไร... หา?????????????? อะไรนะ!!!!???!???" เมื่อกี้มันพูดตอบผมว่าอะไรนะ ผมฟังไม่ถนัด!? แย่แล้ว กลับบ้านไปต้องแคะขี้หูว่ะ! "ผมบอกว่า โน่ฟังถูกแล้ว... โน่คบกับผมหน่อยนะ" ไอ้ห่าปุณณ์ ตกลงมึงเป็นเกย์จริงเหรอวะ!!! แล้วที่กูถ่อมาถึงบ้านมึง มึงจะทำมิดีมิร้ายกับกูรึเปล่าเนี่ย!!!!!!! ผมคิดพลางรู้สึกเสียวด้านหลังขึ้นมาตะหงิด ๆ แถมยังมั่นใจว่าตอนนี้หน้าซีดแล้วแน่นอน ผมเหลือกตามองใบหน้าหล่อเหลานั้นที่คลี่ยิ้มให้ผมอย่างมีเลศนัย... แน่นอนว่าผมไม่อยากรู้ว่ามันอยากจะสื่ออะไร เพราะที่แน่ ๆ ตอนนี้ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า... ดีที่สุด!!
"เฮ้ยโน่!!! ฟังให้จบก่อนสิวะ!!!!!" มันไม่ให้ผมกลับครับคุณผู้อ่าน T[]T!!! ทั้งที่ผมหันหลังเรียบร้อยทำท่าจะเหวี่ยงขาขึ้นมอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว แต่มันดันคว้าแขนผมไว้ได้ซะก่อน T[]T แน่นอนว่าผมต้องรีบหันหน้ากลับไปหามันทันที เพราะการปล่อยให้มันอยู่ด้านหลังผมนาน ๆ ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก ผมหลับตาปี๋ พลางโบกไม้โบกมือให้ว่อน สภาพตอนนี้ช่างอเน็จอนาถ ดูไม่ได้แล้วจริง ๆ T__T "กูไม่ใช่พวกแบบนั้น!! มึงอย่ามาชอบกูเลย กูขอโทษ กูคบมึงไม่ได้จริง ๆ" ถึงกับยกมือไหว้กันล่ะทีนี้ หรือจะให้ผมกราบเท้ามันก็ยังไหว ขอแค่ปล่อยผมกลับบ้านเถอะ วันนี้ผมไม่พร้อม T___T "เฮ้ย!! ฟังให้จบสิโน่!!! ผมก็ไม่ใช่พวกแบบนั้นเหมือนกัน!!!" ปุณณ์เขย่าตัวผมจนผมต้องลืมตาขึ้นมาข้างหนึ่ง... อ้าว.... ??? ตกลงผมเข้าใจอะไรผิดอีกล่ะเนี่ย "เข้ามาก่อน แล้วจะอธิบายให้ฟัง" มันลากผมเข้าบ้าน!!!!!!!!!!!!!!!!? แล้วผมจะรอดไหม!!!!!!!!!!!!!!?!!

Love sick 1st


"โน่!!!! ไหง๋งบชมรมเรามนั หดเหลือแค่นี้ล่ะวะ !?" เสียงโวยวายของเจ้าโอมร้องจ้าลั่ นห้องชมรมทันทีที่ผม
ย่างเท้าเข้ามาถึง... นี่ยังไม่ทันจะหายใจในห้องชมรมได้เกิน 1 วินาทีด้วยซ้ำ ไอ้แผ่นกระดาษแจ้งงบประมาณ
ตัวปัญหาก็มีอันลอยละล่องมาบังสายตาผมเอาไว้ก่อน
ผมขมวดคิ้วอ่านรายละเอียดบนกระดาษแผ่นนั้น (ที่ไอ้โอมประเคนให้ผมถึงหน้า ) อย่างถ้วนถี่ .... จำได้ดียิ่ง
กว่าจำวันเกิดอั้ม- พัชราภาซะอีก ว่าผมยื่นขอไปสองหมื่นห้าพัน เป็นค่าบำรุงกลองชุดที่เริ่มจะเก่าแล้วของ
ชมรมเรา...
แต่แล้วทาไมมันเหลือแค่ห้าพันอย่างนั้นล่ะวะ!!! อีกสองหมื่นไปไหน !?
"มึง.... ใบเสร็จค่ากลองจะมาแล้วนะโว๊ยยย งี้ไม่ต้องไปนั่งขอทา นรึไง!" ไอ้เจ้าโอมยังคงประท้วงโวยวาย
ไม่รู้จักเหนื่อย ในขณะที่สมาชิกคนอื่น ๆ ในชมรมนั่งกุบขมบั แล้วผู้รักษาตำแหน่งประธานชมรมดนตรี
อย่างผมจะทำอะไรได้
"เดี๋ยวกูมา "
***
เสียงรองเท้าหนังสีดำของผมกระทบกับพื้นมนั ปลาบของตึกอำนวยการอย่างเร่งรี่ด้วยกลัวว่า หากเย็น
เกินไปแล้วห้องนั้นจะปิ ด ตอนนี้ในหัวมนั ตื้อไปหมดทั้งความไม่เข้าใจและกลัวความบกพร่องหน้าที่ของ
ตัวเอง บ้าชะมดั !! นี่ผมไปทำพลาดตอนช่วงไหนล่ะเนี่ย !? ทั้งที่มนั่ ใจแล้วเชียวว่างบประมาณที่ขอไปจะได้แน่ ๆ จนถึงขั้นลงมือสั่งของไปแล้ว แต่สุดท้ายดันมาโดนตัดงบแบบนี้ได้ไง!? บิงโก!! ห้องสภานักเรียนยังเปิดอยู่!! ผมหวังว่าจะได้เจอคนที่มีอำนาจตัดสินใจในนั้นซักคนสองคนนะ "ตัวแทนจากชมรมดนตรีมาขอตรวจสอบงบประมาณที่คาดว่าจะผิดพลาดครับ!!" เสียงที่เปล่งออกไปซะดังดูท่าจะเสียเปล่า เมื่อเบื้องหน้าผมปรากฏร่างโปร่งของเด็กชายแค่คนเดียวในห้องสภานักเรียนนั้น ปุณณ์ ภูมิพัฒน์ เลขาสภานักเรียน 2 ปีซ้อน เรียนชั้นปีเดียวกับผม! (ถึงจะไม่ค่อยสนิทกันก็เถอะ) ไม่เสียแรงเปล่าแล้วโว๊ยยย ถ้าเป็นเจ้านี่ ต้องช่วยผมได้แน่นอน!!! "ปุณณ์! ช่วยดูงบชมรมเราให้หน่อยสิ นะ ๆๆ หายไปตั้งสองหมื่นกว่าแน่ะ จะบ้าตายอยู่แล้ว" ผมฉวยโอกาสจากความเป็นเพื่อน (ห่าง ๆ) ทันทีที่หมอนั่นมองเห็นผม ดูท่าทางมันตกใจนิดหน่อย แต่ก็เดินไปเปิดแฟ้มงบประมาณเช็คให้ผมดูแต่โดยดี "แป๊บนะโน่..." โอเค.. รอได้! ผมยืนมองปุณณ์ที่พลิกกระดาษไปแฟ้มไปมาอย่างใจจดจ่อ อยากจะให้คำพูดที่ออกมาจากเจ้านั่นเป็นคำว่า 'เออว่ะ ผิดจริง ๆ ด้วย ขอโทษนะ' หรือไม่ก็ 'เดี๋ยวเงินที่เหลือจะตามไปอาทิตย์หน้า' หรืออะไรก็ตามเทือก ๆ นั้น แม้ความหวังจะแลดูริบหรี่ เพราะสภานักเรียนทำงานไม่เคยพลาด (ยิ่งมีปุณณ์เป็นเลขาคอยตรวจเช็คอย่างนี้ด้วยแล้ว) และงบประมาณก็ไม่เคยออกทีละขยักแบบนั้นเช่นกัน "ไม่ผิดว่ะ... มันถูกแล้วนะโน่ โน่ดูนี่สิ" ปุณณ์พูดคำที่ผมไม่อยากฟังมากที่สุด พร้อมกับยื่นรายการงบประมาณในแฟ้มให้ผมดู... ทั้งที่ตัวหนังสือมันก็เล็กนิดเดียว แต่ภาพเลข 5,000 ดันกระแทกตาผมจนแทบหงาย
"เป็นไปได้ไงเนี่ย!?" "ก็ตอนวันพิจงบโน่ไม่ได้มาใช่ปะ ส่งใครมาแทนวะ" ปุณณ์พูดกระตุ้นให้ผมคิด และผมก็คิดออก... วันพิจงบประจำปี ที่ทั้งชมรมและองค์กรต่าง ๆ ในโรงเรียนจะต้องเข้าร่วมเพื่อจัดสรรงบประมาณเหล่านั้น ผมไม่อยู่กรุงเทพฯ เพราะอาม่าที่เพชรบุรีเกิดป่วยหนักจนต้องแห่กันลงไปเยี่ยมกะทันหัน ทำให้คนที่ไปเข้าร่วมพิจงบในฐานะตัวแทนชมรมดนตรีไม่ใช่ผม แต่เป็น.............. ไอ้ง่อย!!! จริง ๆ มันชื่อไอ้เงาะ แต่ถ้าผมอารมณ์เสียเมื่อไหร่ผมจะเรียกมันง่อย (ชื่อไหนก็ทุเรศทั้งนั้นแหละ ผมว่า) เพื่อนในชมรมผมเอง คนที่ถูกจับฉลากให้ไปแทนผมเพราะไม่มีใครอยากไปซักคน.. อย่างนี้แหละครับ พิจงบ แต่ละครั้งใช้เวลาไม่เคยตํ่ากว่า 12 ชั่วโมง แถมยังเครียดมากอีกต่างหาก... ว่าแต่ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะวะไอ้ง่อย!!! "ผมก็อยู่ในที่พิจงบวันนั้น พี่อั๋นชมรมวรรณศิลป์สับงบชมรมโน่ใหญ่เลย เพราะไม่งั้นของเขาจะถูกตัดเอง แต่เงาะมันไม่กล้าเถียงพี่อั๋น ได้แต่นั่งเงียบจนโดนพี่อั๋นสับไปเหลือห้าพันนั่นแหละ ผมก็งง ๆ เหมือนกันว่าโน่จะไม่ว่าเหรอ" "ไม่ว่าที่ไหนล่ะ..... แล้วทำไงดีวะเนี่ยยยยยยยยยยย" ผมโวยวายกับตัวเองอย่างจนปัญญาจะทำวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ ในขณะที่ห้องสภาทั้งห้องเงียบกริบ.. เสียงแฟ้มเล่มนั้นถูกวางลงบนโต๊ะกลางห้อง พร้อม ๆ กับที่ปุณณ์อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง "แต่ผมมีอีกวิธีหนึ่ง..." "ว่ามาเลยปุณณ์ ว่ามาเดี๋ยวนี้เลย เราทำทุกอย่าง!!" โอกาสมาถึงหน้าจะไม่ให้คว้าได้ยังไงล่ะครับ!! ผมรีบมองหน้าเพื่อนร่วมชั้นปีที่ไม่สนิทเท่าไหร่คนนี้ทันที โดยไม่ทันสังเกตประกายตาแปลก ๆ จากคนตรงหน้า
ถ้าผมรู้ว่าเรื่องราวต่อไปจะเป็นยังไง ผมคงไม่มีวันพูดคำนั้นเด็ดขาด!!!!!! "โน่มาเป็นแฟนผมสิ.."