วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Love Sick 10th

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองฉายหนังซํ้า... เพราะกลับมาที่นี่อีกแล้ว แม้ว่าเมื่อวานจะเพิ่งมาไปก็เถอะ.. รอบตัวผมตอนนี้คราครํ่าไปด้วยนักเรียนนักศึกษาและคนทำงานหลากหลายรูปแบบ กำลังเดินกันยั้วเยี้ยอยู่ในสยามสแควร์ แหล่งที่มีวัยรุ่นขวักไขว่เป็นอันดับหนึ่งของกรุงเทพฯ... อันที่จริงแล้วสิ่งที่ผมชอบน้อยที่สุดรองจากงูก็การมาสยามหลังเลิกเรียนนี่แหละ เพราะแม่งวุ่นวายสิ้นดี ถ้าไม่ติดว่ามีเหตุการณ์ที่นํ้าหนักมากพอจะให้ผม.. ผู้ซึ่งโบกมือลากับไอ้ปุณณ์ไปแล้วเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน จะต้องแอบดอดตามมาจนถึงนี่.. ผมก็ไม่มาหรอก ผมคิดบ่นกับตัวเองพลางชะโงกดูร่างสูงโปร่งของปุณณ์ที่นำอยู่ไม่ไกลไปด้วย ก่อนจะลอบตามมันต่อไม่ให้ใครผิดสังเกต และเพราะเดินอยู่ข้างหลังแบบนี้เอง เลยได้แอบเห็นสาว ๆ ที่เดินผ่านมัน เหลียวหลังมองเพื่อนผมกันเกรียว... ก็ขำดีเหมือนกันว่ะ นี่ถ้าเดินมาพร้อมกันคงไม่ได้รู้ว่าเพื่อนผมมันมีดี ผมสะกดรอยตามไอ้ปุณณ์ไปเรื่อย ๆ จนถึงที่นัดหมายระหว่างมันกับ... เอม แต่ดูเหมือนว่าเอมจะยังไม่มาแหะ เห็นปุณณ์เปิดประตูเข้าไปในสตาร์บักส์ตึกใหม่ตรงข้าง ๆ พาคิโน่
แล้วก็นั่งบนเก้าอี้ริมกระจกให้เห็นได้ชัดโคตรสะใจ (จริง ๆ มันเป็นกระจกทั้งร้านอยู่แล้วครับ) ดังนั้นผมจึงแสร้งเดินไปเดินมาแถว ๆ ซอยร้าน jousse เพื่อจะเห็นปุณณ์ได้ถนัด แต่มันมองไม่เห็นผมหรอกครับ เพราะกำลังหันหลังให้ผมอยู่ ยิ่งเห็นปุณณ์นั่งอ่านหนังสือรอเอมอยู่ในร้านอย่างใจเย็นแล้วผมก็ยิ่งโมโหเดือด.. นี่ผู้หญิงคนนั้นบังคับเพื่อนผม (ที่ป่วยอยู่) ให้ออกมาหา แล้วยังจะมาช้าอีกเหรอวะเนี่ย... เดี๊ยะบั๊ดกัดหูขาด.. น่าหงุดหงิดจริง ๆ ผมเดินวนไปวนมาแถวนั้นเสียหลายรอบ จนพนักงานในร้านค้าเริ่มสงสัย อยู่ตรงนั้นนานถึงขนาดเดินเลยไปซื้อนํ้าดื่มที่บู้ทส์ กลับมาก็ยังเห็นปุณณ์แช่อยู่ที่เดิม??? นี่มึงนัดกับแฟนหรือแค่เปลี่ยนที่อ่านหนังสือเนี่ยยย จนมากกว่าครึ่งชั่วโมงผ่านไปนั่นแหละครับ ผมถึงได้เห็นเอมในชุดนักเรียนเดินสวยมาแต่ไกล โชคดีจริง ๆ ที่เอมขาวผ่องซะโอโม่ ผมเลยได้อานิสงส์หนีทันเวลาไปด้วย ว่าแล้วผมก็แปลงร่างเป็นลูกค้าเข้าไปในร้าน jousse เป็นการด่วน (แม่ค้าคงตกใจว่าเดินไปเดินมาหน้าร้านตั้งนานเพิ่งจะเข้า) เพราะชุดนักเรียนกางเกงนํ้าเงินของผมนี่มันเด่นน้อยอยู่ซะที่ไหน... สาวคอนแวนต์ตาไวกับสีกางเกงของพวกผมนักแหละ ผมทำเป็นเลือกดูเสื้อผ้าไป (ของผู้หญิงทั้งนั้น) เหลือบมองทั้งคู่ที่นั่งคุยกันอยู่ในร้านไป... ดูเผิน ๆ ก็ท่าทางร่าเริงเป็นธรรมชาติดีหรอก แต่ผมจำได้ว่าตอนที่ปุณณ์ออกมาจากบ้าน มันเริ่มมีอาการไข้กลับนิดหน่อย นั่นล่ะที่เป็นห่วง ผมรอทั้งสองคนดื่มกาแฟ กินขนมเค้กกันอย่างใจเย็น กว่าพวกเขาจะออกมากัน อืม...นานเป็นบ้า.. แต่เดินตามนี่ง่ายกว่าซุ่มดูเยอะเลยครับ.. อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ต้องหน้าด้านให้พนักงานร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงมองผมแปลก ๆ นั่นแหละ ผมเดินตามทั้งคู่ที่มุ่งหน้าไปทางบายพาส ก็พอจะเข้าใจว่า เอมเขาอยากได้รองเท้านี่นะ
แต่พอโผล่หัวเข้ามาในบายพาสก็ต้องตกใจกับปริมาณคนที่เยอะชิบหาย! เยอะจนน่ากลัวว่าไอ้ปุณณ์จะเดินไม่ไหวครับ! เพราะสาว ๆ มาจับจ่ายซื้อของก่อนเวลากลับบ้านกันเยอะมากในขณะที่ทางเดินมันก็แคบ ผมมองไอ้ปุณณ์อย่างเหนื่อยหน่ายใจ.. ไอ้พ่อพระนั่นก็ไม่สบายแล้วยังเสือกกระแดะถือกระเป๋านักเรียนกับถุงแฮรอดให้เอมอีก.. มันน่าบ้องกะโหลกนัก ทำตัวพระเอกไม่เข้าเรื่องนะมึง ผมเห็นเอมเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น แต่ไม่มีทีท่าจะได้รองเท้าหรืออะไรซักอย่าง ทำไมวะ มันหาซื้อยากขนาดนั้นเชียว? เอมตามหารองเท้าพระนเรศวรอยู่รึไง แล้วก่อนมาทำไมไม่คิดก่อนว่าอยากได้ของแบบไหน ร้านอะไร มาดึงเพื่อนผมเดินตามอยู่ได้ ผมยอมรับว่าหงุดหงิดมาก ขณะกัดหลอดนํ้าเดินตามทั้งคู่มาได้พักใหญ่ จนตอนนี้ชักจะเมื่อยเหมือนกัน... บวกกับท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มแล้วด้วย ในที่สุดเราสามคนก็ย้ายสถานที่จากบายพาสมาเป็นโบนันซ่าเรียบร้อย ซึ่งแน่นอนว่าคนเยอะกว่าเก่า.. -_-".. ไม่รู้จะแห่กันมาทำไม ร้านไหนแจกของฟรี จะได้เอากลับไปฝากม๊า -_-"... แต่ผมว่าอย่างเอมน่ะ ไม่ซื้อของจากบนนี้หรอก แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามคาด... ไอ้สองคนนั้นสับขาหลอกผมเดินวนไปวนมาในโบนันซ่า (เกือบหลงกันก็ตั้งหลายรอบ) วนแม่งตั้งแต่ชั้น 1 ยันชั้น 3 ทะลุออก 29 พลาซ่าอีกต่างหาก แต่เสือกเดินกลับออกมาแบบไม่มีอะไรติดมือเลยย นอกจากกระเป๋านักเรียนและถุงแฮรอดในมือปุณณ์ (แม่งทำไปได้ไง) หน้าปุณณ์มันจะตายห่าอยู่แล้วไม่เห็นรึไงวะเอม! ยิ่งตามสองคนนั้นไปเรื่อย ๆ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น เรากลับมาลัดเลาะอยู่ในซอยสยามสแควร์เป็นนานสองนานจนในที่สุดก็มาหยุดหน้าร้านเสื้อผ้าผู้หญิงร้านหนึ่งที่เอมพาปุณณ์ให้แวะเข้า
ไป ผมเงยหน้ามองป้ายร้านแบรนด์ indy ร้านหนึ่งที่ยูริก็ชอบอุดหนุนประจำ แล้วต้องส่ายหัวหน่าย... ร้านเล็กขนาดนั้นผมไม่เข้าไปหรอก ผมคิดก่อนจะตัดสินใจไปอ่านหนังสือรอหน้าดอกหญ้าแทน... นานพักใหญ่มาก ๆ จนผมจะอ่านขายหัวเราะจบ 3 เล่มอยู่แล้วกว่าทั้งคู่จะออกมา (แน่นอนว่าผมหลบเข้าไปในร้านหนังสือเรียบร้อย) จนแอบคิดว่าเอมจะเหมาร้านนั้นทั้งร้านเลยหรือเปล่า ภาพที่ผมเห็นหลังจากทั้งคู่เดินออกมาคือถุงใหญ่ในมือปุณณ์ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นรองเท้าหรือเสื้อผ้า แค่หวังว่าเธอจะปล่อยให้เพื่อนผมกลับบ้านไปนอนพักเสียที ว่าแต่....... แล้วนั่นจะเดินไปพาราก้อนต่อทำไม! -_-" ผมลากสังขารตามไอ้คู่รักสองคนนั้นต่อไปยังพาราก้อนอย่างไม่ลดละ แม่ง... ขนาดผมยังเหนื่อยเลยอะ แล้วไอ้ปุณณ์มันไม่เหนื่อยมั่งรึไงวะ ป่วยก็ป่วยยังถูกใช้ให้มาเดินมาราธอนอยู่ได้ ผมล่ะอยากจะโผล่ไปกระชากลากให้มันกลับบ้านเสียจริง ๆ แต่ขืนทำแบบนั้นปุณณ์คงไม่ปลื้มแน่ จริงอยู่ที่ทางเดินในพาราก้อนคนไม่ขวักไขว่เท่าฝั่งสยามสแควร์ แต่ก็กว้างงงงงงงงเสียจนแค่คิดก็เหนื่อย... นี่อย่าบอกนะว่าจะพาเพื่อนผมเดินขาขวิดรอบห้างนี่น่ะ ตายแน่ ๆ (ไม่มันก็ผม) ผมสะกดรอยตามทั้งคู่ไปเรื่อย ๆ จนพวกเขาหายเข้าไปใน shop หรูแบรนด์หนึ่ง (อี้ผมก็เป็นลูกค้าประจำแบรนด์นี้ครับ)... โอเคจบ... ไอ้เรื่องจะให้ผมตามเข้าไปนี่ไม่มีวันเห็น ๆ!!! เพราะเหตุนั้น ผมจึงได้แต่วนไปวนมาเป็นหนูติดจั่นอยู่แถวนั้นด้วยความเป็นห่วงไอ้ปุณณ์จนแทบบ้า.. นี่ผมเป็นห่วงมันมาก ๆ จริง ๆ นะ เพราะตอนก่อนหน้าจะเข้าไปในร้าน หน้ามันซีดเกือบจะเท่าตอนบ่ายแล้วเห็น ๆ
'ใครจะไปดีได้ทุกชั่วโมง ก็เรามันคนไม่ใช่ละครทีวี~' ชิบหายแล้ว!! โทรศัพท์มือถือผมทั้งร้องทั้งสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงจนต้องรีบลนลานรับสายทั้งที่ยังไม่ทันมองชื่อ "ฮัลโหล" "โน่ทำอะไรอยู่คะ" ยูรินี่หว่า!!!? ผมอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะระลึกชาติได้ว่าผมจะอึกอักทำไม ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย.. เออ.. "ธุระนิดหน่อยน่ะ.. ยูริมีอะไรรึเปล่า?" "เปล่าหรอกค่ะ ได้ข่าวว่าโน่ไม่ไปเรียน เลยโทรมาหาเฉย ๆ เป็นห่วงว่าไม่สบายรึเปล่า" คำพูดเหล่านั้นเรียกให้ผมยิ้มออก "ใครวิ่งไปรายงานล่ะ" "ยูมีสายสืบหรอกน่า... อิอิ ถ้าไม่ได้ไม่สบายก็ดีแล้วล่ะค่ะ แล้วโน่อยู่ไหนเนี่ย เสียงดังเชียว" แต่ขืนบอกว่าอยู่พาราก้อนรับรองว่ายูริได้แจ้นมาหาผมแน่ เพราะเธอมักใช้ชีวิตหลังเลิกเรียนอยู่แถว ๆ นี้เสมอ... คิดได้ดังนั้นสมองอันน้อยนิดของผมก็เริ่มประมวลผลทันที "ผมทำธุระอยู่น่ะ แค่นี้ก่อนแล้วกันครับ หวัดดีครับ" เอาเลยครับ! ใครจะว่าใจร้ายยังไงผมไม่สน ตอนนี้ขอรอดตัวก่อก็พอแล้วครับ ^^" หลังจากกดวางสายไม่นานเลยทั้งปุณณ์และเอมก็โผล่ออกมาจาก shop พร้อมด้วยถุงสีแดงจัด สกรีนอักษรโลโก้ร้านใบหนึ่ง... ผมเห็นทั้งคู่ยืนตกลงอะไรกันต่อนิดหน่อย ก่อนจะตัดสินใจเดินต่อไปยังบริเวณ
หน้าห้าง กลับแล้วใช่ไม๊!!! ต้องอย่างนี้สิโว๊ยยยย.. ผมเผลอยกกำปั้นขึ้นอย่างลืมตัวจนเกือบวิ่งตามสองคนนั้นไม่ทันแน่ะ! ที่หน้าห้าง ปุณณ์ยืนถือของทั้งหมด (กระเป๋านักเรียน ถุงแฮรอด และช้อปปิ้งแบ็กอีก 2 ถุง) รอแท็กซี่อยู่กับเอมซึ่งมีแก้วนํ้าปั่นที่แวะซื้อจากแถว ๆ food hall ในพาราก้อน ไว้ในมือ แต่แถวรอแท็กซี่หน้าพาราก้อนก็ยาวเหยียดพอ ๆ กับแถวจองตั๋วพี่เบิร์ด จนผมเริ่มสังเกตได้ว่าปุณณ์ดูโอนเอนกว่าปกติ ผมหรี่ตามองร่างสูงของเพื่อนที่ดูโงนเงนราวกับกำลังจะตั้งหลักไม่อยู่ ขนาดมองจากไกล ๆ อย่างนี้ยังเห็นชัดว่าน่ามันซีดเหมือนกระดาษจนผมกลัว....... แล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เป็นจริง ภาพปุณณ์ที่มือไม้อ่อนปล่อยของทุกอย่างในมือลงพื้นพร้อม ๆ กับที่ร่างกายทรุดตามลงไปด้วยนั้น ผมไม่มีทางปล่อยให้ฉายได้นานจนถึงช็อตสุดท้ายแน่นอน ทั้งตัวของผมกระโจนไปรับมันไว้ทันทีก่อนที่แรงดึงดูดของโลกจะดึงมันลงไปให้หัวฟาดพื้น ปุณณ์ตัวร้อนเหมือนกับผมกำลังจับไฟ "ปุณณ์!! มึงไหวป่าว!!" ผมถามทั้งที่ไม่ต้องการคำตอบ นอกจากส่งสายตาให้พี่ยามที่ตะลึงอยู่ช่วยลัดคิวโบกแท็กซี่ให้พวกผมด่วน "โน่!?" เสียงเอมเรียกชื่อผมด้วยความฉงน แต่ผมไม่สนใจอะไรแล้ว.. ผมลากไอ้ปุณณ์ที่ตัวร้อนจัดออกมาจากแถวรอขึ้นแท็กซี่ เพื่อพามันไปนั่งพักตรงหน้านํ้าตกก่อน จัดแจงคลายเข็มขัดให้ และเอาของเอมทั้งหมดที่ตกอยู่บนพื้นมาถือไว้เสียเอง เอมเดินตามมายืนข้าง ๆ ผม แต่ผมไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าผู้หญิงคนนี้เลย.. ผมรู้ว่าผมไม่ควรพาล.. จริง ๆ แล้วผมควรเกลียดตัวเองมากกว่าที่ปล่อยให้ปุณณ์มันออกมาจนเป็นอย่างนี้ "ปุณณ์มันไม่สบายน่ะวันนี้" ผมบอกเอมเรียบ ๆ แต่ไม่ได้มองหน้าเธอสักนิด จึงไม่รู้ว่าเธอกำลังมีสี
หน้าแบบไหน.. ผมยังห้ามความไม่พอใจของตัวเองไม่ได้ "โน่!!!!!" ชิบหายแล้ว!!! ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงแหลม ๆ ร้องเรียกชื่อผมมาจากที่ไกล ๆ โดยไม่ต้องมองก็รู้ดีว่านั่นเสียงใคร.... แห่กันมาทำอะไรตอนนี้อีกวะเนี่ยยย!!! "โน่อยู่แถวนี้ทำไมไม่บอกยูล่ะคะ อ้าว.. เอม? ปุณณ์?" ยูริที่ร้องเรียกชื่อผมเมื่อครู่วิ่งมาปรู๊ดดเดียวถึงตัวผม แต่ก็นับว่ายังฉลาดที่เมื่อเห็นปุณณ์นั่งไม่ได้สติอยู่ข้าง ๆ แล้วยังเงียบเสียงลงไป "ผมบอกแล้วว่าทำธุระน่ะ... อืม.. ยูริกับเอมกลับเองได้ใช่รึเปล่า ผมเอาปุณณ์มันกลับก่อนนะ" ไม่ต้องรอฟังคำตอบ ผมผลักข้าวของทั้งหมดคืนให้เอมทันที ก่อนจะพยุงร่างอันไม่ได้สติของปุณณ์เพื่อไปขึ้นแท็กซี่ที่พี่ยามอำนวยความสะดวกให้พวกเราเอาไว้แล้ว ถึงแม้มันจะค่อนข้างลำบากก็ตาม พามันกลับบ้านตัวเองทั้งอย่างนี้ต้องแย่แน่ ๆ.... เอาไปบ้านผมก่อนแล้วกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น