ผมโผล่มาโรงเรียนในวันจันทร์ด้วยใบหน้าอิดโรย.... ทั้งที่พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องเมื่อวันเสาร์แล้ว
แต่สมองดันทรยศ.. เพราะไม่ว่าผมจะกําลังทำอะไร นั่ง นอน ยืน ดูบอล
เล่นเกม หรือแม้แต่แค่ก้าวเท้าไปในห้องนอนตัวเอง.. สิ่งที่ผมเห็นยังคงเป็นใบหน้าของปุณณ์ซึ่งเข้ามาใกล้ที่สุดวันนั้น..
ตรึงไว้ให้หยุดมองแววตาจริงจัง ทั้งที่เป็นคู่เดียวกับที่เคยมอบความอ่อนโยนให้ใครต่อใครแท้
ๆ แต่ผมกลับไม่สามารถละสายตาไปทางไหนได้ 77
ความรู้สึกที่ว่าปุณณ์มีเรื่องราวมากมายอยากจะบอกผ่านดวงตาคู่นั้นยังคงฝังแน่นไม่ไปไหน.. ในขณะที่ผม
สับสนมากกว่าจะปล่อยเรื่องทั้งหมดให้ดำเนินต่อไป หลังจากที่ผมผลักปุณณ์ออกและหนีไปหายาให้มันกิน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมแทบสั่นไปหมดทั่วทั้งตัว... ในเมื่อสิ่งที่ผมกําลังเผชิญอยู่เป็นความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน...
ไม่ว่ากับใครผมก็ไม่เคยเป็น กับไอ้โอมที่เป็นเพื่อนสนิท โดนเนื้อโดนตัวกันขนาดไหนก็ไม่เคยเป็น
หรือแม้กระทั่งกับยูริ ที่มักจะมาคลอเคลียอยู่เสมอ ก็ยังไม่เคยทำให้ผมรู้สึกแบบนี้มาก่อน...
มันเป็นความรู้สึกที่น่าประหลาด เพราะผมเองทั้งเคลิบเคลิ้มและหวาดกลัวในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ แต่กลับมีบางอย่างตะโกนบอกผมว่าไม่ได้
อันที่จริงแล้วผมไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าใกล้ผมขนาดนี้เลยต่างหาก...... หลังจากนั้น สิ่งที่เหลือระหว่างผมกับปุณณ์มีเพียงความเงียบ.. ราวกับว่าเราทั้งคู่ต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ปุณณ์ก็ดูเหมือนมีเรื่องให้ทบทวนหลายอย่างขณะที่ผมสับสนเกินกว่าจะอยากชวนคุยอะไร
หนึ่งวันผ่านไปโดยที่เราแค่เพียงถามคำตอบคำ จวบกระทั่งตอนเย็นอาการของปุณณ์หายดีแน่แล้วผมจึงขับรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งให้ที่บ้าน.....
จนตอนนี้เราทั้งคู่ก็ยังไม่ได้เจอหรือคุยอะไรกันอีก.... น่าแปลกที่ผมรู้สึกโหวง ๆ ในอกเวลาไม่มีมันอยู่ข้าง ๆ ทั้งที่เป็นเวลาแค่
4 วันเท่านั้น ที่เรื่องราวทั้งหมดระหว่างผมกับปุณณ์ได้เกิดขึ้น มันเป็น
4 วันที่ยาวนานจนผมยังไม่อยากเชื่อตัวเองเลยว่า เราช่วยกันสร้างเรื่องทั้งหมด
จนเปลี่ยนจากคนเคยเห็นหน้าให้กลายเป็นเพื่อนสนิทได้อย่างหมดหัวใจ จริงอยู่ว่าผู้ชายเราสนิทกันง่าย
เฮไหนเฮนั่นไม่มีเกี่ยง แต่ไม่เคยมีใครทำให้ผมสนิทใจได้มากและเร็วเท่ากับปุณณ์มาก่อน
78
มากจนถึงกระทั่ง.............................
"เฮ้ย!!!!! มานั่งเหม่อเชี่ยไรแต่เช้าวะ!!"
เสียงไอ้เชี่ยโอมดังในระยะประชิด แม่งโคตรจะขัดบรรยากาศแห่งความคิดของผม..
ไอ้บ้านี่มันน่ารำคาญจริง ๆ พับผ่า ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจมัน แกล้งฟุบหน้าลงกับโต๊ะหมายจะเนียนหลับ
แต่มันเสือกรู้ทันคว้าคอผมให้เงยหัวตั้งขึ้นตามเดิมเสียก่อน "อย่าเพิ่งนอน! เมื่อวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ มึงไปไหนมา...
สามวัน" ยิงคำถามเป็นชุด แถมเป็นคำถามแจ็คพอตเงินล้านทั้งนั้น
จะให้ตอบยังไงล่ะครับ! "ทะ.... ทำไมล่ะ!"
"แฟนมึงตามหามึงให้วุ่น เสือกปิดโทรศัพท์ทั้งสามวันเลยนะ"
ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกฟังเสียงไม่ถนัด เพราะนํ้าเล่นท่วมปากมาเจียนมิดรูหู...
คงเป็นเพราะวันศุกร์ กับเสาร์ ผมตั้งใจปิดโทรศัพท์เนื่องจากไม่อยากให้มีใครรบกวนปุณณ์
(เดี๋ยวจะป่วยหนักกว่าเดิมขึ้นไปอีก ผมล่ะขี้เกียจเข้าครัวบ่อย ๆ)
แต่สำหรับวันอาทิตย์ที่ผมปิดโทรศัพท์นั่น......... ผมตอบไม่ถูกจริง ๆ.. ท่าทางไอ้โอมจะรู้ดีว่าต่อให้เค้นจนนํ้าลายแห้งยังไงก็คงไม่ได้คำตอบแน่..
มันถึงได้ถอนหายใจยาวขนาดนั้น "ถามจริง..........
มึงกับไอ้ปุณณ์มีอะไรกันรึเปล่าวะ?" "เฮ้ย!!!!!!!!!!!!?!??!!" ไอ้สัด!!!!!!!
เจอแบบนี้ใครไม่ร้องไม่รู้แต่ผมร้อง!!!.. ดังเสียจนเพื่อนทั้งห้องหันมามองเป็นตาเดียว
เดือดร้อนไอ้โอมต้องคว้าผมไปอุดปาก แต่มือแม่งเสือกเค็มชิบหาย "ไอ้บ้า!! เสียงดังหาเหล่าก๋งมึงเหรอ!" เหล่าก๋งกูเฝ้าเง็กเซียน!! 79
ผมดิ้นฟึดฟัดอยู่สองสามทีมันก็ปล่อย
แล้วเริ่มพูดกับผมต่อ
"กูหมายถึงว่า มึงมีเรื่องอะไรกับมันรึเปล่า... สามวันที่ติดต่อมึงไม่ได้ แฟนไอ้ปุณณ์ก็ติดต่อปุณณ์ไม่ได้เหมือนกัน....."
"....................." โอมกับผมเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี..
ทำไมจะไม่รู้ว่าเวลาผมเงียบหมายความว่ายังไง "เออ.... ไม่อยากบอกก็ตามใจ... ทำอะไรคิดดี
ๆ หน่อยแล้วกัน... อะนี่ เล็คเชอร์มึงเมื่อวันศุกร์ กูกะไอ้เก่งช่วยกันจดให้"
มันว่าเสียงเรียบพลางยื่นสมุดปกบางให้ผม ผมรู้ว่าโอมไม่ได้พูดในแง่ที่รู้อะไรลึกซึ้งมากนักหรอก
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีความกล้าพอจะสบตาอยู่ดี "ขอบใจว่ะ"
หลังจากที่รับสมุดเล่มนั้นมา ผมรู้สึกว่าไอ้โอมกําลังตบไหล่สองสามทีราวกับอยากให้กําลังใจ...
เพื่อนมึงสบายดีน่ะ... ไม่เป็นไรหรอก
*** หนึ่งวันของผมยังคงเป็นหนึ่งวันที่ไร้สาระเหมือนเดิม... จริง ๆ แล้วพูดให้ถูกก็คือชีวิตผมไม่เคยมีสาระนั่นแหละ.. นี่ขนาดอยู่ ม.5 แล้วนะเนี่ย คุณว่าผมจะเอนท์ติดปะวะ
แต่ถึงจะคิดอย่างงั้นผมก็ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ เหอ ๆ อย่างน้อยถ้าผมซีเรียสคงไม่โดดเรียนคาบบ่ายมานอน80
กระดิกเท้าหลังตึก สบายกายอยู่กับไอ้โอมแบบนี้
ว่าแต่ทำไมชีวิตผมต้องมีไอ้ห่านี่ติดตูดเป็นแมงกุดจี่ดูดขี้ควายตลอดเวลาด้วยวะ ผมคิดพลางเหลือบมองแมงกุดจี่ที่นอนเอาซองไอพอดมาปิดตาไป
งึมงัมฟังเพลงไป จริง ๆ แล้วผมก็บ่นไปงั้นแหละ ไม่มีมันแล้วจะรู้สึก... ว่าแต่สนามหญ้าตรงนี้มันเย็นสบายดีจริง
ๆ สงสัยฮวงจุ้ยตึกเรียนคงบังแดดไว้มิดพอดิบพอดี จึงกลายเป็นอานิสงส์ให้ผมกลิ้งเล่นไปมาได้สบายใจ
"ฮ้าว~... ขี้เกียจหวะ นอนถึงเลิกเรียนเลยดีมะ"
"เออดี กูชอบ" ไอ้ห่า... ไม่เคยจะฉุดผมไปในทางที่ดีหรอก "จัดไป"
ผมก็ไม่เคยชวนมันไปในทางที่ดีเหมือนกันแหละ ฮา... เราทั้งคู่ต่างนอนเงียบ ๆ กันอยู่หลังตึกอำนวยการ ซึ่งจริง ๆ แล้ว แค่บราเดอร์นึกคึกเปิดหน้าต่างออกมาก็คงเห็นพวกผมนอนอยู่
ซวยบรรลัย (เป็นแบบนั้นมีหวังป๊าได้บ่นหูชาอีกแหง๋) แต่ช่างมันเหอะ ต่อให้ไปหลับในห้องเรียนก็โดนด่า ค่าเท่ากันอยู่ดี ผมทอดสายตามองไปไกลถึงท้องฟ้าสีสวย
ที่มีเมฆขาวลอยขนัด ย้ายสลับที่ไปมาจนกลายเป็นโรงละครย่อม ๆ แล้วแต่ผมจะจินตนาการ ผมเห็นก้อนเมฆรวมตัวกันบ้าง
กระจายตัวบ้าง แยกเป็นช่องโหว่บ้าง แต่ก็ยังไม่ปรากฏนกบินผ่านซักตัว.. คงเป็นเพราะอากาศร้อนระอุจนไม่น่าขยับตัวไปไหนนี่ล่ะมั้ง ทุกอย่างจึงรวมใจกันนิ่งสนิท
ไม่มีแม้แต่ลมจะผลักใบไม้สักใบให้ร่วงลงมา ผมเองตอนนี้ก็ไม่อยากจะขยับตัวไปไหนเหมือนกัน........
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเจอมาตลอดครึ่งวัน... ไอ้ปุณณ์เป็นบ้าอะไรของมัน ผมรู้สึกตะหงิดใจตั้งแต่เมื่อวันเสาร์แล้ว ที่มันเงียบไป...
แต่ก็คิดตลอดว่าเปิดเรียนวันจันทร์มา คงจะไม่มีอะไร... จนได้รู้ว่าผมคิดผิดถนัด เพราะพอถึงวันนี้ ผมจึงเห็นว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด..
ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ผมก็จำไม่ได้หรอกว่า81
เมื่อก่อนเวลาผมเจอกับไอ้ปุณณ์มันเคยเป็นแบบไหน (จำได้ลาง
ๆ ว่าอย่างน้อยก็ยิ้มให้ มีทักทายบ้างพอเป็นพิธี หรือไม่ก็วานให้ช่วยทำอะไรซักอย่างให้หน่อย)
แถมไอ้ในวงเล็บที่เห็นอยู่คือเรื่องเมื่อก่อน 4 วันที่แล้วนะ แต่ทำไมพอหลังจาก 4 วันนั้นจนถึงวันนี้...........
ทั้งที่คิดว่าเราสนิทกันมากขึ้นแล้วแท้ ๆ กลับกลายเป็นว่าแย่ลงทุกอย่าง?
ตอนเช้าผมมาโรงเรียนแบบงัวเงีย ๆ (สายอีกต่างหาก)...
เป็นเรื่องปกติที่จะต้องเจอปุณณ์แทบทุกครั้งเพราะหมอนั่นทำงานให้สภานักเรียน
ก่อนเข้าเรียนจึงมักวนไปเวียนมาอยู่แถวตึกอำนวยการหน้าประตูรั้วให้ผมได้เห็นหน้าประจำ
ผมเคยโบกมือให้มันเป็นกําลังใจเวลาทำงานก็บ่อย.. ถึงแม้ว่าวันนี้จะลังเลเล็กน้อยว่าควรโบกดีหรือไม่
แต่ผมก็พยายามทำให้ทุกอย่าง 'ปกติ' แต่ไอ้บ้าตัวที่มันเมินผมไปซะฉิบ
ไม่แอบยิ้มแล้วโบกมือตอบเหมือนทุกทีนี่หมายความว่ายังไง!? ยอมรับว่าผมโคตรจะหงุดหงิด
แต่ก็พยายามไม่ทำตัวคิดเล็กคิดน้อยแบบพวกผู้หญิง โดยการปลอบใจตัวเองว่ามันคงไม่ทันเห็น...
ทั้งที่ในใจรู้ดีว่าเราสบตากัน ก่อนมันจะหันหน้าหนี แต่ผมก็บอกตัวเองอยู่เสมอว่าไม่มีเหตุผลอะไรจะทำให้ปุณณ์กลายเป็นแบบนั้น
จนถึงคาบสาม ได้เวลาที่ผมต้องเปลี่ยนห้องเรียนจากห้องประจำไปแลปภาษา อันที่จริงแล้วไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะบังเอิญเจอกันระหว่างทางบนตึกอย่างนี้
และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกกว่าปกติอะไร หากเราจะทำเนียน ๆ เดินผ่านโดยไม่ยอมทักกัน
(ก็เมื่อก่อนผมกับมันไม่สนิทกันนี่) เพียงแค่วันนี้...............
ผมรู้สึกแปลก ๆ ปุณณ์มันเป็นคนอัธยาศัยดี ใคร ๆ ก็รู้จักมันทั้งนั้น
(ไอ้การรู้จักหมอนี่แบบห่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกครับ เรียนจบไปถ้ามันได้เป็น
สส. ผมคงไม่มีวันแปลกใจ) ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ผมเห็นมันเดินยิ้มกว้างหัวเราะร่ากับเพื่อนมาแต่ไกล แถมยังโบกมือทักทายเพื่อนห้องผมตั้งหลายคนอีกต่างหาก
ยิ่งกับไอ้รถเก๋งงี้ 82
ตบหัวกันตุ้บตั้บเสียงดังสนั่น
กระทั่งมาถึงผม...........
คุณลองคิดภาพเด็กผู้ชายอารมณ์ดีคนหนึ่งที่เดินยิ้มมาตลอดทาง จนมาถึงตัวผม..........
ผมเป็นตัวอะไรวะ... ทำไมเจอหน้าต้องทำเป็นนิ่งด้วย...
ถ้าลองเป็นเมื่อก่อนผมคงช่างแม่งแล้วด่ามันลับหลังว่าไอ้ขี้แอ็คไปแล้ว
แต่วันนี้ไม่ใช่ ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมหันไปคว้าแขนมันไว้โดยที่ตัวเองก็ยังคาดไม่ถึง
เช่นเดียวกับไอ้ปุณณ์ที่ทำท่าตกใจมากอยู่ ระหว่างผมพยายามข่มความรู้สึกไม่ดีทั้งหมดแล้วพูดออกไปว่า
"หวัดดี!" สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ.......
เจ้าของแขนข้างนั้นมีปฏิกิริยาขืนตัวเองออก พร้อม ๆ กับดวงตาคู่ที่มักจะมองมาอย่างอ่อนโยน
กลายเป็นผลุบลงตํ่า "หวัดดี........" นั่นคือเสียงเดียวของปุณณ์ที่ผมได้ยินในวันนี้... หลังจากนั้นผมก็เจอมันบ้างอีกประปรายระหว่างพักกลางวัน...
แต่พอจะรู้แล้วล่ะว่าอีกฝ่ายไม่อยากเจอผมสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงถึงเวลาของผมบ้างที่ต้องเป็นฝ่ายหลบหน้ามัน
ผมไม่อยากให้มันเจอผม.... เพราะหากปุณณ์ตั้งใจจะหลบผมอีก..................
83
ผมคงทนยิ้มอยู่แบบนี้ไม่ไหว
เสียงถอนหายใจยาวของตัวผมเองดังขึ้น เมื่อต้องวนคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา โชคยังดีที่ตอนนี้ยังมีลมเย็นพัดผ่านหลังตึกมาบ้าง.... พลอยทุเลาความเครียดที่ผมมีลงไปได้นิดหน่อย
ปุณณ์มันเป็นอะไรวะ.. ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ ถ้ามันจะอาย
คนที่ควรอายยิ่งกว่าน่าจะเป็นผม.. แล้วถ้าผมเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาแล้ว
แต่มันยังวิ่งหนีอย่างนี้ล่ะก็ ..... ไม่อยากคิดต่อแล้วแหะ ผมหลับตาลงและปล่อยให้สายลมระใบหน้าไปเรื่อย
อย่างน้อยก็รู้สึกเหมือนยังมีธรรมชาติช่วยปลอบใจอยู่บ้าง ผมรักอากาศเย็นที่วิ่งผ่านปลายจมูกผม
เพราะมันให้ความรู้สึกเดียวกับที่เคยได้รับเมื่อวันก่อน อ่อนละมุนเหมือนกับลมหายใจของปุณณ์ที่ยังคงค้างอยู่บนปลายจมูก...
ผมรู้สึกว่าตัวเองคลี่รอยยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อนึกถึงช่วงเวลา
4 วันที่ผ่านมา... แม้ตอนนี้จะไม่สามารถกลับไปเป็นเช่นนั้นได้อีกแล้ว
แต่แค่ได้ย้อนกลับไปคิดถึงก็เป็นสุขใจ สายลมเอื่อยอ่อยยังคงวนเวียนตามตัวผมไม่ห่างไปไหน
แม้จะทำให้รู้สึกเย็นขึ้นมาบ้าง แต่ความสบายมีมากกว่าจนขี้เกียจกระดิกตัวไปทำอะไร 84
'ซ่า!' ไอ้เชี่ย!!!!!!!!! คนนะไม่ใช่คอห่าน ราดนํ้ามาได้ไม่ดูตาม้าตาเรือ! ผมสะดุ้งตื่นเพราะความเย็นเฉียบของนํ้าเช่นเดียวกับไอ้โอมที่กระโดดหนีไปไกลลิบโลก
(สงสัยมันกลัวนํ้ากระเด็นใส่ไอพอด) แม่งรักเพื่อนจริง
ๆ... สรุปว่าใครบังอาจทำลายคาบบ่ายอันแสนสบายของผมวะเนี่ย!!!!!!!!!!!
อย่าให้รู้นะ ถ้าไม่ใช่บราเดอร์ไม่เอาไว้แน่.... ผมคิดบ่นในใจเป็นชุดพลางขุดสารรูปอันเปียกปอนของตัวเองหันไปกลับไปตาขวางมองต้นเหตุที่ยังคงถือถังนํ้าคาไว้ในมืออยู่......
นั่นทำให้ผมพบว่า คนที่ถือถังนํ้าหลังหน้าต่างไม่ใช่บราเดอร์ แต่เป็น...
"โน่........." "ปุณณ์..............
?"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น