วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

LOVE SICK :: ชุลมุนกางเกงน้าเงิน EP.11

ตลอดทางบนรถแท็กซี่... ไอ้หมอนี่ครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมลอบมองใบหน้าซีด ๆ ที่หมดหล่อแล้วของมันเป็นระยะเมื่อรู้สึกว่าเสียงเงียบไป พร้อมกับพยายามจับแขนมันเอาไว้ เพื่อวัดอุณหภูมิร่างกายว่าสูงแค่ไหน รวมถึงต้องการจะบอกมันว่า.. ยังมีผมอยู่ข้าง ๆ ผมไม่ได้หายไป แต่ตัวมันก็ร้อนซะจนผมอดประท้วงคนป่วยไม่ได้ "มึงไปหาหมอดีกว่าป่าววะ" แน่นอนว่า ถึงผมจะพยายามถามกึ่งบังคับ ขอร้อง อ้อนวอน ขู่เข็ญ สักแค่ไหน คำตอบของไอ้ปุณณ์ก็ยังคงเหมือนเมื่อสิบห้านาทีที่แล้วไม่มีผิด "ไม่เป็นไรอะ พักหน่อยเดี๋ยวก็หาย" มึงเห็นกูเป็นนางพยาบาลเหรอ T______T 61
ผมนั่งสั่นขาเป็นจ้าวเข้าอยู่บนแท็กซี่อย่างร้อนใจ พลางบอกทางคุณลุงคนขับไปด้วย ใช้เวลาเพียงไม่นานนักรถแท็กซี่คันสีฟ้าก็มาหยุดอยู่หน้ารั้วบ้านผม "ไม่ไฮโซเท่า นอนได้ใช่ปะ" ผมว่าประชดมัน แต่ได้ยินกลับมาเพียงเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ มันไม่มีแรงด่าผมตอนนี้หรอก ผมรู้ ฮ่า ๆ หลังจากแบกมันเข้ามาถึงในบ้านได้อย่างทุลักทุเล ผมก็เจ๊อะหน้าป๊ากับม๊า ที่ยังคงดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นกันครบทีมเสียก่อน.... ทีนี้ผมจะบอกว่าอะไรดีวะครับเนี่ยย ลูกชายพาผู้ชายเข้าบ้าน ป๊าม๊าคงไม่คิดลึกเท่ากับที่น้องสาวและแม่บ้านตระกูลภูมิพัฒน์คิดหรอกมั้ง เหอะ ๆๆ "หวัดดีฮะอาป๊า ม๊า" ผมทำตัวเป็นเด็กดี แม้ว่าตอนนี้อยากจะวิ่งพรวดเดียวให้ถึงห้องใจจะขาด (กลัวไอ้ปุณณ์ตาย) แต่ก็ต้องชิงทักบุพการีเอาไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยทางทรัพย์สิน (ของค่าขนม) "กินข้าวมารึยังโน่... อ้าว? แล้วนั่นเพื่อนเป็นอะไร" เป็นม๊านั่นเองที่สังเกตเห็นก่อน แต่เล่นทักซะเสียงดังจนป๊าต้องหันมามองด้วยอีกคน "อ้าว... ลื้อไปแบกใครกลับมา" "สะ... สวัสดีฮะ.." เสียงไอ้ปุณณ์กระท่อนกระแท่นทักที่บ้านผมอย่างน่าเวทนา ป่วยแล้วยังเสือกจะทำมารยาทงามอีกนะมึง... ผมคิดพลางเหล่มองไอ้ตัวดีที่พยายามยกมือไหว้ทั้งที่ไม่มีแรงอย่างละเหี่ยใจ "เพื่อนฮะ มันไม่สบาย กลับบ้านไม่ไหว โน่เอามันนอนนี่นะ" "รีบพาเพื่อนไปพักเร็ว แล้วเดี๋ยวม๊าหายาขึ้นไปให้" อิอิ... น่ารักไหมล่ะครับม๊าผม จริง ๆ แล้วบ้านผมใจดีกันทั้งบ้านครับ ไม่งั้นไอ้โอม ไอ้เก่ง และอีกสารพัดไอ้ จะแห่มานั่งเล่นเกมบ้านผมกันบ่อย ๆ ทำไม แน่นอนว่าไม่มีการรอช้า หลังจากได้สัญญาณไฟเขียวแล้ว ผมรีบแบกไอ้ปุณณ์ขึ้นชั้นสอง มุ่งหน้าไปยังห้องนอนทันที 62
** "นอนนี่แหละ โทษทีที่เตียงไม่ใหญ่เท่า" เมื่อถึงห้องนอน ผมพาไอ้ปุณณ์ที่กะปลกกะเปลี้ยไปวางไว้บนเตียงอย่างไม่รอช้า ดูท่าทางมันสบายตัวขึ้นมากเมื่อหลังได้สัมผัสกับฟูก แว่วเสียงมันงึมงำอะไรขอบใจผมเบา ๆ แต่ไม่ได้สนใจนักหรอกครับ เพราะมัวแต่ง่วนอยู่กับการปรับองศาเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายไอ้ปุณณ์อยู่ โดยไม่ลืมที่จะลอบมองมันเป็นระยะ ๆ ว่าหนาวเกินไปหรือเปล่า แน่นอนว่าเพราะฤทธิ์ไข้ ผมเห็นมันตะกายผ้าห่มผมอย่างกับเป็นสมบัติลํ้าค่า.. เฮ้อ.... ป่วยไม่เจียมเองเนอะมึงอะ 'ก๊อก ๆ' "เข้ามาสิฮะ" "ม๊าเอายามาให้ เพื่อนโน่เป็นไข้ใช่รึเปล่า" ผมยิ้มกว้างเมื่อเห็นม๊าเข้ามาพร้อมกับขวดนํ้า และกระปุกยา "ใช่ฮะ ไว้มันตื่นจะไล่ไปขอบคุณม๊าให้" "ไม่เป็นไรหรอก แล้วนี่ใครล่ะ ม๊าไม่เคยเห็น บอกที่บ้านเขารึยัง" ปกติม๊าผมเห็นแต่ไอ้เหี้ยโอม กับไอ้สัดเก่ง แล้วก็ตัวเสื่อม ๆ ทั้งหลายเท่านั้นแหละครับ หน้าตาผู้ดี ๆ แบบนี้ไม่เคยมีมาหรอก.. สงสารม๊าจริง ๆ "เพื่อนที่โรงเรียนอะม๊า ชื่อไอ้ปุณณ์ วันนี้มันป่วยผมเลยแบกมันกลับ เดี๋ยวว่าจะโทรไปบอกบ้านมันอยู่" ผมตอบพลางหันไปมองเจ้าตัวที่ผล็อยหลับไม่รู้เรื่องไปแล้ว แล้วก็ต้องถอนหายใจปลงอีกซักหนึ่งเฮือกใหญ่ 63
"เปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดตัว ให้เพื่อนด้วยสิโน่ แบบนั้นนอนไม่สบายหรอก" ม๊าผมสั่งเสียไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกจากห้องไป.... เออว่ะะ นั่นเป็นเรื่องที่ผมลืมเสียสนิท! ปล่อยให้มันนอนทั้งกางเกงยีนส์แบบนี้ไม่ดีแน่ ผมคิดพลางหันไปมองมันที่หลับไม่รู้เรื่องแล้วตัดสินใจเดินไปหยิบกะละมังใส่นํ้า ผ้าขนหนูผืนเล็ก รวมถึงเสื้อผ้าชุดใหม่มาเตรียมซับตัวให้ "ปุณณ์.... ปุณณ์.... ปุณณ์!.. มึงตื่นมากินยาก่อน...." ใช้เวลาพักหนึ่ง กว่าที่ผมจะเขย่าตัวมัน จนมันรู้สึกตัวขึ้นมากลืนยาลดไข้ได้... ผมส่งนํ้าให้มันกรอกตามแล้วปล่อยปุณณ์นอนต่ออย่างเดิม... หน้าตามันดูไม่ไหวแล้วจริง ๆ ว่ะ ไอ้เรื่องจะให้เช็ดตัวเองนี่ลืมไปได้เลย "เช็ดตัวก่อนดีปะวะ... มึงนอนไม่สบายหรอก มากูเช็ดให้" ผมบ่นไปปลํ้าถอดเสื้อให้มันไป กว่าจะถอดเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อย (แม่งไม่คิดจะลุกขึ้นมาถอดเองเลยใช่ปะ)... จนในที่สุด ผมก็มีเพื่อนเป็นชีเปลือยท่อนบนนอนแผ่หราอยู่บนเตียง โชว์กล้ามเนื้อแผงอกที่ขยับขึ้นลงเล็กน้อย จนเดาได้ยากว่ามันหลับไปแล้ว หรือหมดแรงจะกระดิกตัวกันแน่ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากบิดผ้าขนหนูชุบนํ้าเช็ดตัวไปเรื่อย ไล่มาตั้งแต่ใบหน้าขาวซีดที่เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างเล็กน้อยของมัน เลยมาถึงลำคอระหงส์ที่คล้ายกับกําลังพยายามเปล่งเสียงอะไรซักอย่าง ด้วยความยากลำบาก ผมมองหน้าปุณณ์พลางเลื่อนผ้าขนหนูมาเช็ดแขนยาว ๆ ของมันไปพลาง ตอนนี้ตัวปุณณ์ไม่ร้อนเป็นไฟเหมือนเมื่อตอนอยู่บนรถแท็กซี่แล้วครับ แต่ก็ยังถือว่าอุ่นอยู่มาก ผมสาละวนกับการเช็ดแขนของมันทั้งสองข้าง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นลูบเบา ๆ ที่แผงอก หลังจากที่บิดผ้าขนหนูใหม่อีกนํ้าหนึ่ง ผมจัดการเช็ดหน้าอกให้มันต่ออย่างพิถีพิถันที่สุด เพราะเล่นไปเดินตะลอน ๆ อยู่สยามจนเหงื่อออก ผมอยากให้มันนอนสบายตัว จึงเช็ดเรื่อยมาจนถึงบริเวณหน้าท้องที่ดูมันจะเกร็งเป็นพิเศษ.. 64
"อือ........." ครางทำเหี้ยไรวะ!! "ครางหาป๊ามึงเหรอ กูฟังแล้วหยิว" ผมด่ามันพลางกดนํ้าหนักมือลงบนพุงที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อนั่น ก่อนจะแว่วเสียงมันหัวเราะเบา ๆ "ก็กูเสียว..." มีแรงเถียงผมงี้คงไม่ป่วยแล้วม๊างงงงง "ได้เสียวกว่านี้แน่... เอ้า! ถอดกางเกง" ผมพูดต่อหน้าด้าน ๆ พร้อมวางผ้าขนหนูลงกะละมัง แต่นั่นกลายเป็นต้นเหตุให้ไอ้คนป่วยนอนเคลิ้มเมื่อครู่ถึงกับเบิกตาโพล่ง "เฮ้ย!?" "ตกใจเชี่ยไร จะใส่กางเกงยีนส์นอนรึไง หายป่วยแล้วก็ถอดเองสิวะ หรือจะให้กูถอดให้" ท้าวสะเอวด่ามันนี่ดูข่มขู่ดีนะครับ ฮ่า ๆ... ผมยืนมองหน้ามันที่เลิ่กลั่กไม่หาย ก่อนจะส่ายหัวหน่ายแล้วจัดการปลํ้าปลดกระดุมรูดซิปกางเกงมันด้วยตัวผมเอง "เฮ้ย!!!!!" "อายห่าไร.. สัญญาว่าถ้าพะโล้มึงเล็กกูไม่บอกใครหรอก.... นอกจากชมรมดนตรี สภานักเรียน เพื่อน ๆ ม.5 แล้วก็แก้งค์คอนแวนต์แฟนมึง" ฟังดูดีปะครับ ฮ่า ๆๆ แน่นอนว่าไอ้ปุณณ์รั้งขอบกางเกงยีนส์ตัวเองเอาไว้เหนียวแน่นอย่างกับเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายในชีวิต "มะ... ไม่ต้องถอดกางเกงหรอก" "ไรวะ!! ผู้ชายเหมือนกันแท้ ๆ เหนียมอยู่ได้ รำคาญโว๊ย! ถอด ๆๆๆๆๆ" แต่คนป่วยหรือจะสู้คนหนุ่มแข็งแรงดีอย่างผมได้ ผมไม่ต้องเปลืองแรงมากมายเลยกับการดึงมือมันออกจากขอบกางเกงยีนส์ และจัดการรูดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายที่น่าหวงแหนของมัน 65
คิดมากน่า!!!! บ๊อกเซอร์มันผมก็ไม่ได้ถอดออกมาซักหน่อย!!!! "อย่าชักธงรบตอนกูกําลังเช็ดขาให้มึงแล้วกัน กูรับไม่ได้" ผมกําชับมันไว้แค่นั้นก่อนจะบิดผ้าขนหนูมาเช็ดตัวต่อ ได้ยินเสียงมันหัวเราะเหมือนคนปลงโลกแล้วก็กระหยิ่มใจได้อย่างหนึ่งว่าวันนี้ผมมีเรื่องชนะมันแล้ว หลังจากจบเหตุการณ์ปลุกปลํ้าเช็ดตัวไอ้ปุณณ์สำเร็จ ก็ถึงตาผมไปอาบนํ้าชำระร่างกายบ้าง.. แน่นอนว่าไม่ลืมเด็ดขาดที่จะปิดโทรศัพท์มือถือทั้งของมันและของผม ป้องกันคนรบกวนเต็มรูปแบบ ท่ามกลางสายนํ้าที่ไหลผ่านตัวผม ผมกําลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาอย่างช้า ๆ... อันที่จริงผมกับปุณณ์รู้จักกันมานานก็ใช่อยู่... เพราะโรงเรียนของเรามีตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยม จึงไม่แปลกอะไรที่เราทั้งคู่จะเคยเห็นหน้าค่าตากันมานานตั้งแต่ยังเด็ก ๆ (ตอนเด็ก ๆ ไอ้ปุณณ์ก็ไม่ได้หล่อหรอกครับ ฮ่า ๆ) ปุณณ์ในความทรงจำของผมเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง ดีจนเกือบจะเรียกได้ว่าเพอร์เฟ็ค ทั้งตัวสูง รูปหล่อ ผลการเรียนดี บ้านมีตัง (เหมือนเป็นสโลแกนอะไรซักอย่าง..) พฤติกรรมเด่น ความสามารถทางดนตรี กีฬา ภาษา หมอนี่ก็มีครบ ที่สำคัญแฟนยังสวยจนใคร ๆ เขาก็ลือกัน แต่เรื่องแปลกที่สุดก็คือ.... ทั้งที่มีคนเพอร์เฟ็คเสียจนน่าหมั่นไส้ขนาดนี้อยู่ทั้งคนแล้ว.... กลับไม่เคยได้ยินว่ามีใครเกลียดไอ้ปุณณ์ซักคน... แม้แต่คนหมั่นไส้ยังไม่มี ผมเคยคิดเรื่องนี้บ่อย ๆ ตั้งแต่สมัยยังไม่สนิทกับมันว่าเพราะอะไร... ทั้ง ๆ ที่ผู้ชายเราต่างมีอีโก้ในตัวเองสูง เห็นใครได้ดีกว่ามักจะทนไม่ได้ เป็นต้องถูกเหม็นขี้หน้า ท้าตีท้าต่อยทุกรายไป เว้นแต่กับปุณณ์ ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เป็นบุคคลน่าไว้วางใจของใคร ๆ แถมยังมีเพื่อนล้อมหน้าล้อมหลังเสมอ ผมเคยสงสัย จนกระทั่งช่วงหลัง ๆ มานี้ ผมจึงได้คำตอบ... 66
ปุณณ์เป็นมากกว่าคนเพอร์เฟ็ค... สำหรับผม ผมมองผ่านความเพอร์เฟ็คด้านความสามารถต่าง ๆ ของปุณณ์มาแล้ว เพราะตลอดช่วงเวลาสองสามวันที่ผ่านมา มันพิสูจน์ให้ผมเห็นได้เสมอว่าความเพอร์เฟ็คของมันคือ การเป็น คนดี โดยที่ไม่ต้องอวดสรรพคุณอะไรในตัวเองเลย ปุณณ์มักจะปฏิบัติกับคนอื่นอย่างใส่ใจ และอ่อนโยนเสมอ.. ผมเห็นได้จากสิ่งที่มันตั้งใจทำให้เอม ให้ผม รวมถึงเพื่อน ๆ จนอื่น อาจจะกวนตีนไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วมันก็ยังน่าคบมากกว่าน่าถีบ ยิ่งได้อยู่ใกล้ปุณณ์ ผมก็ยิ่งหายสงสัย ว่าทำไมใครต่อใครถึงพากันชอบมัน... ทั้งที่โรงเรียนผมผู้ชายเท่ห์ ๆ ก็มีอีกเยอะแยะดาษดื่นไป ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความจริงใจและกล้าหาญเสมอนั้นคือคำตอบ ปุณณ์เป็นมากกว่านั้นจริง ๆ.... ผมเดินออกมาจากห้องนํ้าเพื่อจะพบมันหลับปุ๋ย นอนสบายตัวอยู่บนเตียงด้วยชุดที่ผมเปลี่ยนให้ เมื่อทาบหลังมือลงกับหน้าผากก็พบว่าอุณหภูมิอีกฝ่ายนั้นเย็นลงนิดหน่อย แต่ก็ดูไอ้ปุณณ์จะยังคงหนาวมากอยู่ดี... เสียงครางด้วยความทรมานยังคงมีมาแผ่ว ๆ ไม่ได้หยุด "ปิดไฟแล้วนะ..." จริง ๆ ผมไม่เคยนอนเร็วขนาดนี้หรอกครับ แต่ครั้นจะปล่อยคนป่วยนอนเตียงคนเดียวแล้วผมชิ่งไปดอทเอก็คงเหี้ยเกินไป ^^" ผมพยายามเงี่ยหูฟังคำตอบ ได้ยินเสียงมันครางอะไรไม่ได้ศัพท์ก็เหมาเอาเองว่าคงอนุญาตให้ผมปิดไฟได้67
นั่นแหละ ฮ่า ๆ... ว่าแล้วก็จัดการดับไฟหมดทั้งห้อง จนเหลือเพียงแสงนวลของดวงจันทร์ที่สาดเข้ามาทางประตูระเบียงบานใหญ่ ทำให้ผมยังคงมองเห็นหน้าไอ้ปุณณ์อยู่ อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่ามันคิดอะไร หัวคิ้วถึงได้ขมวดเป็นปมยุ่งเหยิงขนาดนั้น ผมคลี่ยิ้มให้ภาพตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบให้ด้วยหวังว่าคงช่วยอะไรมันได้บ้าง ไม่มากก็น้อย "อืม...." มันครางรับสัมผัสนั้น ก่อนจะขดตัวมากยิ่งขึ้น จนผมละเหี่ยใจ.... นี่กูว่ากูเปิดแอร์ร้อนจนตับจะแตกอยู่แล้วนะ ไอ้ห่านี่.. "หนาว...." กลายเป็นคำฮิตติดปากของมันช่วงนี้ไปแล้วครับ ผมหัวเราะเบา ๆ ให้ถ้อยคำครํ่าครวญนั้นของมัน ก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้าง เห็นเพื่อนตัวเองนอนสั่นหงึก ๆ อยู่ชั่วครู่ก็ตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง.... ผมหยิบแขนมันที่กอดตัวเองอยู่แน่นขึ้นมา เปลี่ยนเป็นให้พาดลงกับตัวผม... แน่นอนว่าคนป่วยอย่างมันมีท่าทีตกใจ ดวงตาคมนั้นจ้องผมนิ่งอย่างเต็มไปด้วยคำถาม ผมคลี่ยิ้มขำ ๆ ให้มัน "หนาวไม่ใช่รึไง... กูเป็นฮีทเตอร์ให้มึงต่ออีกคืนก็ได้" เพื่อนกันมันไม่แปลกหรอกใช่ไหมครับ? (แต่ผมก็ไม่เคยทำแบบนี้กับไอ้โอมนะ... อย่างว่า คนบ้าไม่เคยเป็นหวัด ไอ้โอมมันเคยป่วยกับเขาซะที่ไหน ผมล่ะอยากให้มันป่วยบ้างจะแย่ เผื่อจะได้เงียบปากมั่ง) ปุณณ์ดูตกใจไม่น้อยกับคำพูดนั้น มือของมันสั่นนิด ๆ อย่างที่ผมไม่ทราบสาเหตุ "ยะ.... อย่าเลย.... กูเกรงใจ" ก็กล้าพูดนะว่าเกรงใจ.... คิดช้าไปหน่อยมั้งพวก ผมถอนหายใจให้กับความดื้อด้านของมัน ก่อนจะเป็นฝ่ายจัดการซุกหัวตัวเองลงในแผ่นอกที่มีไอร้อนของปุณณ์ แล้ววาดมือกอดรอบตัวมัน "เออ เกรงใจก็รีบหาย... เมื่อกลางวันกอดกูแล้วไข้ลงไม่ใช่เหรอ คืนนี้อีกซักคืนแล้วกัน พรุ่งนี้วันเสาร์พอดี ได้พักต่อ" ผมพูดยาวพลางอิงหัวลงกับแผงอกของมันมากขึ้น แต่ดูปุณณ์68
ยังลังเลที่จะใช้งานผมเป็นฮีทเตอร์อยู่ "ดะ.... เดี๋ยวมึงติดไข้..." "กูไม่แต๋ว โดนนิดโดนหน่อยก็ไข้ขึ้นอย่างมึงหรอกน่า!" "นิดหน่อยเชี่ยไร ราดแชมพูใส่กูทั้งตัว" "เงียบแล้วนอนได้แล้ว............" มัวแต่เถียงกันอยู่ได้ มีแรงเยอะนักรึไง.. ผมชักจะง่วงแล้วเหมือนกัน จึงตัดบทพลางกระตุกแขนเสียหนึ่งที เป็นการเตือนให้มันพักผ่อน หลังจากปล่อยเวลาให้ผ่านไปสักครู่.. ดูปุณณ์จะผ่อนแรงเกร็งลง... ก่อนจะค่อย ๆ วาดแขนผ่านตัวผมอย่างลังเล ผมนอนนิ่งอยู่ชิดกับร่างที่อุณหภูมิสูงร่างนั้น ก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีใครสักคนตัดสินใจกอดผมเอาไว้แน่น ด้วยความรู้สึกทั้งหมดของหัวใจ นาทีนี้ผมไม่รู้แล้วว่าสิ่งที่เรากําลังทำอยู่คืออะไร........ ผมรู้แค่ว่าผมอยากจะกอดปุณณ์เอาไว้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลไหนก็ตามแต่ ท่ามกลางแสงแห่งจันทร์ที่นวลผ่อง.... เราทั้งคู่ต่างได้ยินเสียงหัวใจเดินไปในจังหวะเดียวกัน "ฝันดีนะ.." "ราตรีสวัสดิ์ว่ะ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น