"สาดมาได้ ไอ้ห่า.... มึงแค้นจากที่ล้างมอไซค์ตอนนั้นใช่มะ"
ผมบ่นไปบิดเสื้อนักเรียนชุ่ม ๆ ของตัวเองไป เมื่อมันเปียกซ่กตลอดทั้งตัว
จนเปลี่ยนจากร้อนตับแตกให้กลายเป็นเย็นยะเยือกได้ในเวลาไม่ถึงห้านาที ไป ๆ มา ๆ สุดท้ายเลยต้องถอดเสื้อนักเรียนออกผึ่งคอมแอร์ไว้อย่างช่วยไม่ได้
"แล้วใครใช้ให้ไปนอนตรงนั้นวะ ผมจะรู้ได้ไงว่ามีไอ้เวรที่ไหนโดดเรียนนอนอยู่"
แน่นอนว่าตัวปัญหาไม่เคยยอมความผม มันยังคงเถียงปนด่าไม่หยุด ทั้งที่ช่วยหาผ้าขนหนูจากห้องสภานักเรียนมาส่งให้
"นํ้าถูพื้นป่าวเนี่ยยยย" "บ้าดิ่!
นํ้ากรอง! ผมจะเปลี่ยนถังนํ้าแล้วไอ้นี่มันอยู่ก้นถังเฉย
ๆ" เออ ขอให้จริง.. ผมรับผ้าผืนเล็กจากมือมันเพื่อจัดการเช็ดผมที่เปียกแบบลวก
ๆ โดยปล่อยให้ร่างกาย85
ท่อนบนเปลือยเปล่า ตากลมเครื่องปรับอากาศในห้องสภาอยู่อย่างนั้น.... ตอนนี้ไอ้โอมชิ่งหนีกลับห้องเรียนไปเรียบร้อยแล้วครับ
กว่าจะไปได้ก็เล่นบ่นผมซะยกใหญ่ว่าเลือกทำเลไม่ดี ทำให้มันอดโดดเรียน บลา ๆๆ...
แล้วผมผิดไหมวะเนี่ย!? ระหว่างที่กําลังคิดฟุ้งซ่านด่าไอ้โอมอยู่นั้นเอง
ผ้าขนหนูใหญ่อีกผืนก็ถูกโยนลงมาซะก่อน "เอาไปคลุมตัว"....
ปุณณ์บอกผมอย่างนั้น? ผมหยิบมาดูอย่างไม่เข้าใจ
"ใช้ไอ้นี่อันเดียวก็พอ เกรงใจ" "อันนั้นด้วยแหละ เอาไว้....... คลุมตัว.."
พูดอะไรของมันวะ ทำไมต้องคลุมด้วย ดูเหมือนมันจะอ่านสายตาขี้สงสัยของผมออก
"เดี๋ยวหนาว" อ้อเรอะ..........
ผมพยักหน้ารับคำมัน ก่อนจะเอามาคลุมไหล่แบบลวก ๆ แล้วเช็ดผมต่อ ดีนะกางเกงไม่เปียกไปด้วย
ไม่งั้นเซ็งเลย เวลาผ่านไป ภายในห้องสภาฯมีเพียงเสียงแอร์ที่ครางหึ่ง.......
จนผมเริ่มรู้สึกอึดอัด "มึงไม่เรียนเหรอวะ"
คนที่ตัดสินใจทำลายความเงียบคือผมเอง "ก็รอโน่ตัวแห้งก่อน..."
"ไข้กลับอีกมั่งปะ" "ไม่.."
"แล้ววันนี้เมินเราทำไม......." 86
"........................" คำถามนี้ไม่ใช่แค่คำพูดที่เผลอหลุดจากปากผมหรอกครับ แต่เป็นความตั้งใจจะถามมันจริง
ๆ พร้อมสบตากลับไปด้วย เอาให้รู้กันไปว่าไม่ใช่ผมไม่รู้สึกอะไร ปุณณ์มองมาที่ผมวูบหนึ่งก่อนจะหันไปหยิบสมุดบนโต๊ะสภาฯ
"........................ ตัวแห้งแล้วก็ฝากล็อคห้องด้วยนะ..
ผมไปเรียนก่อน" นี่คือคำตอบ ว่าปุณณ์ไม่อยากได้เพื่อนอย่างผมอีกต่อไป
*** อันที่จริงแล้วเด็กม.ปลายคนอื่นเขาคงจะชอบช่วงเวลาหลังเลิกเรียนแบบนี้มากที่สุด....
เว้นแต่กับผม... ที่มักหวาดระแวงเสมอว่าจะมีใครโทรมาเรียกให้ไปที่ไหนรึเปล่า
โบราณว่ายิ่งกลัวยิ่งเจอ...... ตกลงยูริเป็นคนหรือผีวะ...
วันไหนผมเสียวสันหลังวาบ ๆ วันนั้นเธอจะต้องโทรมาเรียกผมให้ออกไปหาทุกที
วันนี้ผมกลับมาที่สยามอีกครั้ง โดยมียูริเกาะแขนแจไม่ห่าง... เสียงแจ้ว ๆ ของเธอยังดังไม่หยุดแข่งกับเพลงในร้านแต่กลับไม่มีเสียงไหนสามารถแล่นทะลุผ่านหัวผมได้เลยสักนิด
ผมยังคงคิดถึงคำพูดและท่าทางต่าง ๆ ของปุณณ์ที่รบกวนจิตใจมาตลอดวัน แม้จะรู้ดีว่าคิดไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมา
87
"โน่ว่าอันนี้น่ารักปะ ยูว่ามันน่าจะมีสีชมพูเนอะ
แต่สีส้มก็สวยดี เราซื้อกันสองอันดีไม๊ ของโน่สีฟ้าไง...... โน่......
โน่??....... โน่!!!" ไอ้เสียงตะโกนเรียกชื่อผมรอบสุดท้ายนั่นเองที่ดึงผมออกจากภวังค์ จริง ๆ แล้วผมไม่ได้ยินคำพูดก่อนหน้านั้นหรอก
แต่มาสะดุดหูอีกทีก็ตอนยูริเรียกชื่อผมครบเป็นครั้งที่สามพอดิบพอดี "คะ... ครับ??" ความเอ๋อของผมทำให้คนเรียกพองลมเข้าแก้มอย่างแสนงอน
แต่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มออกมาในที่สุด "ยูเอาสีส้ม โน่เอาสีฟ้านะ"
"อื้อ เอาสิ.... เท่าไหร่ล่ะ"
ผมพยายามคลี่ยิ้มตอบเธอคนที่ไม่เคยงอแงผม พลางควักกระเป๋าสตางค์ออกมาเตรียมตัวจ่ายให้
ตามแบบฉบับแฟนที่ดีเขาต้องทำกัน "ยูซื้อเองก็ได้ ซื้อให้โน่ไง"
"ไม่เป็นไรหรอก ยูซื้อให้โน่อันที่แพงกว่านี้ดีกว่า ถูก ๆ แบบนี้โน่ซื้อเอง"
ผมพูดติดตลกทั้งที่จริงแล้วไอ้พวงกุญแจพลาสติกหน้าตาปัญญาอ่อนในร้าน
Loft นี่มันก็ไม่ได้ถูกเท่าไหร่ ยูริหัวเราะร่า "ด๊ายยยยย..." เธอยิ้มอย่างดีใจก่อนจะพาผมไปชำระเงินบริเวณเค้าท์เตอร์
หลังจากรับพวงกุญแจนั้นใส่ถุงสีเหลืองของร้าน Loft มาแล้ว ยูริก็จัดแจงห้อยมันกับกระเป๋านักเรียนทั้งของเธอและผมทันที
ผมยืนรอยูริที่ตั้งอกตั้งใจในการห้อยพวงกุญแจมาก สักแป๊บเดียวเธอก็เงยหน้ามายิ้มกว้างโชว์ผลงาน
"อย่าทำหายนะ" "ครับ"
เราควงแขนกันเดินวนรอบห้างอีกนิดหน่อย ก่อนที่เสียงยูริจะบ่นหิว อ้อนให้ผมพาข้ามจาก88
สยามดิสคัฟเวอรี่ไปสยามเซนเตอร์เพื่อหาอะไรกิน
ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เคยขัด เราเดินคุยกันมาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าร้านหนังสือบริเวณทางเชื่อม.......... ที่ที่ยูริหยุดโบกมือให้ใครสักคน เอมกับปุณณ์!? ร้อยวันพันปีผมไม่เคยเจอพวกนี้บ่อย ๆ แต่ไม่รู้ทำไมช่วงหลัง ๆ มา ผมหนีมันไม่พ้นเลยสักครั้ง
"ไปหาพวกเอมกัน!" ยูริพูดไม่ฟังคำตอบ
เพราะพยายามดึงกึ่งลากให้ผมเข้าไปในร้าน โดยไม่สนใจผมที่พยายามขืนตัวและบอกยูริแล้วว่า
"อย่าไปกวนเขาเลย" แต่เธอก็ยังไม่สน
"บังเอิญจัง... เลิกเรียนเห็นยูรีบวิ่งออกมา
กะแล้วว่าต้องมีนัดกับโน่" เอมเอ่ยปากแซวเพื่อนเป็นคำแรกทันทีที่เราทั้งคู่เดินไปถึง
ในขณะที่ปุณณ์ยืนดูหนังสือเงียบ ๆ เช่นเดียวกับผมที่ไม่รู้จะเริ่มคุยอะไร
"แหม.... ก็มีบ้าง.." หญิงสาวข้าง ๆ ผมยิ้มอวดเขี้ยวตาหยี ก่อนจะรีบคว้ากระเป๋านักเรียนสองใบที่ผมถืออยู่
มาอวดเพื่อนทันที "นี่ ๆๆ น่ารักไม๊ โน่ซื้อให้เมื่อกี้ล่ะ"
"น่ารักจังงงงง! ปุณณ์ซื้อให้เอมมั่งสิ"
ไอ้โรคไม่ยอมกันนี่สงสัยจะติดต่อในเด็กผู้หญิงทั่วภูมิภาค.. เพราะพอเอมเห็นพวงกุญแจ (ที่ผมว่ามันปัญญาอ่อน)
บนกระเป๋าพวกเราปุ๊บ เธอก็หันไปกระตุกแขนเสื้อปุณณ์ที่อ่านหนังสืออยู่ทันที
89
เดือดร้อนไอ้ปุณณ์ต้องหันมามองอย่างสงสัย "หืม?" นัยน์ตาคมคู่นั้นหยุดที่พวงกุญแจพวกผมชั่วครู่
ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองมาแว่บหนึ่งแล้วหันไปคลี่ยิ้มให้เอมต่อ "ก็เอาสิ..." "ซื้อเป็นคู่กันเหมือนพวกยูกับโน่เลยนะ"
"ครับ.." "แหม ๆๆ เลียนแบบอ้ะ!
แล้วสองคนนี้ดูหนังสืออะไรกันอยู่เนี่ย" ยูริเป็นฝ่ายตัดบทสนทนาเมื่อครู่ของทั้งเอมและปุณณ์
ก่อนจะถือวิสาสะพลิกหน้าปกดู "อื้อหืออออออออออ อะไรเนี่ย!!!
หนังสือ wedding plan!!! เรียนยังไม่ทันจบม.ปลายเลยนะ!" นั่นทำให้ผมต้องหันไปมองแทบจะทันที
ปุณณ์แสร้งทำเป็นหันหนีไม่สบตาผม ก่อนหมอนั่นจะคว้าเล่มใหม่เอามาพลิกดูต่อ
(ตอนนี้หนังสือในมือมันเป็นเรื่องรถฟอร์มูล่า1) แว่วเสียงเอมหัวเราะแผ่ว ๆ "ดูไว้เฉย ๆ น่ะ ชุดมันสวยดี"
"แหม... รีบร้อนจริงนะคู่นี้.... โน่.. เราดูกันมั่งมะ!" ยูริทำเสียงเล็กเสียงน้อยก่อนจะหันมาชวนผมอย่างซุกซนจนคนฟังต้องสะดุ้งเฮือก
"จะ... จะดีเหรอ?" "ฮ่า ๆๆๆ" แต่เสียงเอมที่หัวเราะดังขัดขึ้นมาหลังคำตอบผม
ส่งผลให้ยูริงอนแก้มป่อง "โน่ไม่รับมุกยูเลยอะ เสียใจ"
ก็แล้วจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าเธอพูดเล่น!!! ถึงเราจะเป็นแฟนกันแบบเบลอ ๆ นัดเดทกันแบบเบลอ ๆ แต่ไอ้เรื่องจะให้เบลอ ๆ แต่งงานด้วยนี่ผมก็อยากจะมีสติคิดดี
ๆ กับคนอื่นเขาเหมือนกันนะ -_-".... แน่นอนว่าผมถูกยูริทุบแขนซะสองทีเป็นการทำโทษ
"งั้นไม่กวนละ ไปกินข้าวก่อน แล้วค่อยเจอกันพรุ่งนี้ที่โรงเรียนน๊า"
หลังจากที่เรายืนคุยกันพอเป็น90
พิธีเสร็จแล้ว ยูริก็ตัดบทพลางโบกมือลาให้คนทั้งคู่ที่ในมือยังถือหนังสืออยู่
ผมโบกบ้าง และคงจะเดินตามยูริออกไปจนถึงหน้าร้านแล้ว หากไม่ได้มีมือมาคว้าเอาแขนผมไว้เสียก่อน!? ผมสะดุ้งนิดหน่อยพร้อมหันไปมองมือข้างที่จำได้ดี
กําลังเลื่อนไปสอดนิ้วประสานกับนิ้วผมแน่น.. ทำอะไรของมันน่ะ!! ผมมองมือข้างนั้น สลับกับใบหน้าปุณณ์ และแฟนปุณณ์ที่ดูเหมือนนอกจากหนังสือแล้ว
ก็ไม่ได้สังเกตอะไร ริมฝีปากจากปุณณ์ส่งรอยยิ้มบาง ๆ ให้ผมแว่บหนึ่ง พลางกระชับมือบีบมาแน่น
ก่อนจะเป็นฝ่ายปล่อยออก.... ผมไม่รู้ว่าปุณณ์ต้องการจะบอกอะไร?...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น